4 ขั้นตอนก่อนซื้อ iPad, iPhone ต้องเช็คหรือตรวจสอบอะไรบ้าง
อย่างที่ทราบกันว่าราคาของ iPad, iPhone ก็ไม่มีได้ถูก ฉะนั้นในการซื้อหามาใช้งานนั้น เราเองควรเช็คให้ดีๆ เสียก่อนว่า iPad, iPhone ที่เราเสียเงินซื้อจากร้านหรือศูนย์บริการเครือข่ายมานั้น มีปัญหาอะไรหรือเปล่า เพราะถ้ามีเราจะได้ทำการเปลี่ยนเครื่องได้อย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้เราต้องเสียเวลามาเคลมอีกรอบ โดยเฉพาะในส่วนของ iPhone 5S และiPad 5, iPad mini 2 ที่ต้องระวัง เรื่องของตัวบอดี้เล็กน้อย เนื่องจากมันสามารถเป็นรอยได้ค่อนข้างง่ายกว่าที่เคยมีมา (เป็นรอยตั้งแต่แกะกล่องก็มี) ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาดูกันครับว่าก่อนจ่ายเงินซื้อ iPad, iPhone รุ่นใหม่ (รวมไปถึง iPod Touch) เราควรจะต้องตรวจสอบอะไรบ้าง เพื่อให้ได้ตัวเครื่องที่ดีที่สุดและปัญหาน้อยที่สุด ซึ่งแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนด้วยกัน
1. ตรวจสอบกล่อง
ขั้นแรกเลยก็คือตรวจความเรียบร้อยของกล่องว่ามีความเรียบร้อยหรือไม่ทั้ง ในส่วนของการซีลพลาสติกใสหรือตัวกล่องมีรอยบุบหรือไม่ แม้ว่ามันจะมีซีลพลาสติกใสมาก็จริง แต่อย่าลืมว่าสมัยนี้การซีลพลาสติกสามารถทำได้ง่ายมาก ดังนั้นให้เน้นไปที่การตรวจสอบที่กล่องว่ามีรอยบุบเยอะหรือเปล่า มีรอยขีดข่วนมั้ย เพราะถ้ามีรอยมาเยอะๆ เป็นไปได้ว่าอาจจะเคยถูกแกะมาก่อน หรือในขั้นตอนการจัดส่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการโยน ซึ่งถ้ามีการโยนจริงๆ อาจส่งผลกระทบกับตัวเครื่องหรืออุปกรณ์ภายในกล่องได้ครับ
2. เช็ครอบตัวเครื่อง
ขั้นตอนสำคัญที่สุดคือการเช็คตัวเครื่องโดยรอบครับ ขั้นตอนนี้จะต้องใจเย็นซักนิดหนึ่ง เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า iPhone 5s, iPad 5 และ iPad mini 2 อาจเป็นรอยได้ง่าย ซึ่งรอยนั้นเป็นไปได้ว่ามันอาจจะมีมาตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตเลยก็เป็นได้ (ทางทีมงานเคยเจอมาแล้ว) ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบให้ดีๆ ตามจุดต่างๆ ดังนี้
- ฝาหลัง ต้องเช็คในส่วนของอะลูมิเนียมที่เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของฝาหลังให้ดีๆ เพราะเป็นส่วนที่มีแนวโน้มว่าจะถลอกได้มากที่สุด โดยเฉพาะเครื่องสีดำ ที่อาจมีรอยขีดข่วนมาตั้งแต่กระบวนการผลิต ส่วนในเครื่องสีขาวนั้นดูเหมือนว่าจะมีปัญหาน้อยกว่า และปิดท้ายด้วยส่วนที่เป็นกระจกตรงแถบๆ กล้องหลัง อันนี้ไม่ค่อยพบปัญหาเท่าไรครับ
- ขอบเครื่อง เป็นส่วนที่มีแนวโน้มจะมีปัญหาเป็นอันดับที่สอง โดยขอบเครื่องจะมีแยกย่อยเป็นสองรูปแบบ คือขอบส่วนกลางซึ่งจะมีพื้นผิวเป็นแบบเดียวกับฝาหลัง ซึ่งก็ต้องใช้วิธีการตรวจสอบคล้ายๆ กัน กับอีกส่วนที่เป็นขอบตัด ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมีรอยกระแทก หรือรอยที่เกิดจากการตัดและเจีย เช่นอาจจะเป็นจุดนูนๆ ขึ้นมา จึงต้องอาศัยการตรวจสอบที่ละเอียดและใช้เวลาซักหน่อยครับ
- พอร์ต Lightning และปุ่มกด ส่วนนี้มักจะไม่ค่อยพบปัญหาเท่าไร การตรวจสอบเบื้องต้นก็ไม่ยากครับ ลองส่องดูว่าในช่องต่างๆ มีอะไรแปลกๆ อุดตันอยู่หรือไม่ ส่วนปุ่มกดนั้นก็ลองกดดูว่าสามารถกดได้เป็นปกติหรือเปล่า
- หน้าจอ สำหรับ iPhone 5 เครื่องใหม่แกะกล่อง จะต้องมีแผ่นพลาสติกใสปิดจอและฝาหลังอยู่ โดยจะไม่มีฟองอากาศอยู่ภายใน (หรือมีก็มีน้อยมาก) และต้องไม่เคยมีรอยแกะแผ่นพลาสติกมาก่อน
ขั้นตอนการตรวจรอบๆ ตัวเครื่อง สรุปง่ายๆ ก็คือตรวจให้แน่ใจว่าเครื่องไม่มีรอยกระแทก รอยขีดข่วน หรือจุดนูนๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นความผิดพลาดจากขั้นตอนการผลิตเท่านั้นเองครับ ไม่ยาก
3. เปิดเครื่องเช็คจอ
หลังจากตรวจสอบภายนอกไปแล้ว ก็ได้เวลาตรวจสอบจอภาพแล้วครับ ซึ่งขั้นตอนการตรวจสอบจอนี้ จะต้องย้ำกับพนักงานว่ายังไม่ต้อง Activate เครื่องนะครับ เพราะ ถ้า Activate ไปแล้ว ถ้าเครื่องมีปัญหา ส่วนใหญ่พนักงานจะไม่อนุญาตให้เปลี่ยนเครื่องอีก เนื่องจากประกันของเครื่องเริ่มเดินหลังจากการ Activate หรือให้เปลี่ยนอีกอย่างมากก็ครั้งเดียว โดยที่ต้องตรวจสอบก็เช่น
- Dead Pixel อันนี้ต้องใช้ความละเอียดของสายตาซักเล็กน้อย เพื่อเพ่งดูจุดต่างๆ บนหน้าจอว่ามีจุดไหนที่แสดงสีผิดเพี้ยนไปบ้าง เช่นรอบข้างเป็นสีเทาหมด แต่มีอยู่จุดหนึ่งเป็นสีดำ เบื้องต้นให้ลองเขี่ยๆ ดูก่อนครับว่าเป็นฝุ่นหรือเปล่า ถ้าพบว่าเป็น dead pixel ก็ขอเปลี่ยนเครื่องทันทีเลย
- แสงและสีของจอ คราวนี้ก็ลองตรวจสอบเรื่องของแสงสว่างจากหลอดไฟที่ให้แสงกับจอกันบ้างครับ โดยสังเกตว่ามีจุดไหนของจอที่แสงสว่างหรือมืดผิดปกติหรือไม่ สังเกตดูขอบๆ จอว่ามีแสงลอด สีเพี้ยนหรือเปล่า
ส่วนเรื่องของซอฟต์แวร์การทำงานภายในนั้น โดยมาก iPad, iPhone มักจะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้อยู่แล้ว หรือถึงมีโอกาสพบเจอปัญหาก็เพียงแค่ Restore เครื่อง ก็จะแก้ปัญหาได้ซะเป็นส่วนมากแล้ว (หรือถ้าไม่หายจริงๆ ก็ส่งเคลมในภายหลังได้)
4. ตรวจสอบอุปกรณ์เสริม
ทีนี้ก็มาตรวจสอบอุปกรณ์เสริมกันบ้าง โดยอุปกรณ์ที่มีมาในกล่อง iPhone 5s (หรือ iPhone 5c) ก็ได้แก่
- สาย Lightning
- อะแดปเตอร์
- หูฟัง EarPods
- เข็มจิ้มเพื่อดึงถาดใส่ซิม
- คู่มือ เอกสารต่างๆ
- สติ๊กเกอร์โลโก้ Apple
* ถ้าเป็น iPad จะไม่มีหูฟัง EarPods มาให้ และในรุ่น WiFi จะไม่มีเข็มจิ้มมาให้เช่นกัน
การตรวจสอบก็ไม่ยากครับ แค่เช็คว่ามีของครบหรือเปล่าเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่บรรดาอุปกรณ์เสริมที่แถมมาในกล่องมักจะไม่มีปัญหา หรือถ้าสามารถตรวจสอบได้ก็จะดีครับ เช่นพวกหูฟัง ย้ำว่าต้องเป็นแบบ EarPods เท่านั้น (แต่ถ้าเครื่องใหม่แกะกล่องคงไม่มีปัญหาอะไร) และหลังจากแน่ใจในตัวเครื่องโดยรวมแล้ว ก็เป็นขั้นตอนของการ Activate และรับเครื่องเป็นของเรา ซึ่งหลังจากขั้นตอนนี้ก็สามารถตรวจสอบส่วนอื่นๆ ได้แล้ว เช่นการโทรศัพท์ การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต การใช้งานทั่วๆ ไป ก็ให้ลองใช้งานดูครับว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ซึ่งถ้าใครที่ตั้งใจจะซื้อเครื่องเปล่าอยู่แล้ว เป็นไปได้ก็ควรจะเตรียมนาโนซิมที่จะใช้ไปให้พร้อม ส่วนใครที่ต้องการซื้อเครื่องพร้อมแพ็คเกจของแต่ละค่ายอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเตรียมไปก็ได้ครับ ส่วนพวก IMEI หรือ Serial Number นั้น ส่วนใหญ่เครื่องที่ซื้อกับผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง AIS, DTAC และ Truemove-H รวมไปถึง Apple Store หรือ iStudio นั้น มักจะไม่มีปัญหาเรื่องเลขที่ตัวเครื่องไม่ตรงกับข้างกล่องอยู่แล้ว ดังนั้นแทบจะตัดปัญหานี้ไปได้เลย
สรุปแล้วการตรวจสอบ iPad, iPhone ก่อนซื้อ โดยเฉพาะก่อนการ Activate จะเน้นไปที่การตรวจสอบตัวเครื่องภายนอกเป็นหลัก และเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของ iPad, iPhone ด้วย โดยถ้าตรวจพบ แนะนำว่าต้องรีบติดต่อเพื่อขอเปลี่ยนเครื่องกับพนักงานทันที แต่ในช่วงแรกนี้ เป็นไปได้ว่าเครื่องที่มีให้เลือกเปลี่ยนอาจจะมีน้อย ซึ่งถ้าเราขอเปลี่ยนหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้เครื่องที่พอใจ เราอาจจะพอขอคุยเพื่อยกเลิกการซื้อได้ เนื่องจากไม่พอใจตัวสินค้า แต่ทั้งนี้ก็คงต้องคุยกับทางผู้จัดการเป็นรายๆ ไป
นอกเหนือจากการเช็คหรือตรวจสอบทั้ง 4 ขั้นตอนที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งข้อสำคัญก็คือ ตัวเราเองต้องมีสติในการซื้ออยู่ตลอดเวลา เพราะในกรณีบางคนเห็นของแล้วรีบตัดสินใจซื้อพร้อมจ่ายเงินในทันที ทำให้พลาดขั้นตอนในการตรวจสอบที่ครบถ้วนไป ซึ่งถ้าโชคดีก็อาจจะได้เครื่องที่สมบูรณ์ไป แต่ถ้าโชคร้ายได้เครื่องมีตำหนิหรือมีปัญหาไปก็คงจะโทษใครไม่ได้ นอกจากตัวเราเองที่ไม่ระวัง อีกทั้งยังส่งผลให้ทั้งเสียเวลาอีกครั้งในการนำเครื่องมาเคลมอีกด้วยครับ
ที่มา : notebookspec
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น