ติดตามข่าวสารอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ thaizones.net นะครับ.. ^0^. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รีวิว (Review) Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition)

รีวิว (Review)  (2014 Edition)

ทยอยเปิดตัวออกมายั่วใจบรรดาขาช้อปสินค้าไอทีกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับแบรนด์สุดล้ำจากแดนโสมอย่าง ซัมซุง(Samsung) ที่เร็วๆ นี้ได้เปิดตัว สมาร์ทโฟน รุ่นเรือธงอย่าง Samsung Galaxy Note 3 ออกมาพร้อมกับนาฬิกาอัจฉริยะ Samsung Galaxy Gear ภายในงาน Samsung Unpacked 2013 Episode 2 และถือได้ว่าประสบความสำเร็จตามคาด โดยวัดได้จากยอดจำหน่ายภายในงาน Thailand Mobile Expo 2013 Showcase ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถจำหน่ายได้หมดเกลี้ยงเพียงแค่วันแรกของการจัดงานเท่านั้น
แต่ผลิตภัณฑ์ตัวเรือธงในปลายปี 2013 ของ Samsung ก็ยังคงไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะในงานเปิดตัวเดียวกันนี้ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) ก็ถูกเผยโฉมออกมาด้วยเช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ดีสำหรับ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) ก็ถือได้ว่าทาง Samsung ได้ซุ่มทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ทั้งดีไซด์ภายนอกที่ดูหรูหราพรีเมียมมากขึ้น และระบบการทำงานภายในที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเก่า ซึ่ง Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) ตัวนี้มีคุณสมบัติ และฟีเจอร์ที่เหนือกว่า Samsung Galaxy Note 10.1 รุ่นก่อนหน้านี้ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น จอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่ถึง 10.1 นิ้ว แบบ Super Clear LCD Capacitive Touchscreen ความละเอียด 2560x1600 Pixels (WQXGA : 299 ppi)
ซึ่งถือว่าเป็นความละเอียดที่มากกว่าเดิมอย่างชัดเจน, หน่วยประมวลผล Exynos 5 Octa 5420 (1.9 GHz Octa-Core Processor) พร้อมระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 4.3 (Jelly Bean), กล้องดิจิตอลความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และที่สำคัญคือฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับการใช้งานปากกา S Pen Stylus ก็ถูกพัฒนาให้มีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยคุณสมบัติระดับนี้ ก็ถือว่าสร้างความสนใจให้กับผู้ที่ต้องการใช้งาน แท็บเล็ต ระดับไฮเอนด์ ได้ไม่น้อย ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ จะเป็นอย่างไร จะสร้างความประทับใจได้มากน้อยแค่ไหน เรามารีวิวพร้อมๆ กันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) นี้ได้ถูกออกแบบ และพัฒนามาในแนวทางเดียวกันกับ Samsung Galaxy Note 3 ทั้งการดีไซด์ภายนอก และฟังก์ชันการใช้งานภายใน โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 243.1X171.4x7.9 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 547 กรัม ซึ่งโดยรวมก็จะมีความบางเบากว่าเดิม พกพาได้สะดวกมากขึ้น
โดยด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) นี้ จะมาพร้อมกับรูปทรงที่ดูเรียบหรูมากขึ้น
โดยด้านบนของ เครื่องนั้นจะประกอบไปด้วย โลโก้แบรนด์ Samsung ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน และใกล้ๆ กันนั้นก็จะเป็น เลนส์กล้องความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์ Proximity Sensor สำหรับการตรวจจับท่าทางต่างๆ ของผู้ใช้งาน
และในส่วนด้านล่าง ของตัวเครื่อง ก็จะประกอบไปด้วยปุ่มควบคุมการทำงาน 3 ปุ่มหลัก นั่นก็คือ ปุ่มโฮม, ปุ่มเมนู และปุ่มย้อนกลับ ซึ่งปุ่มเมนู และปุ่มย้อนกลับนั้นใช้วิธีการสัมผัสในการสั่งงาน
ด้านบนของตัว เครื่องนั้น จะพบกับ IR Blaster ที่ใช้เป็นตัวส่งสัญญาณควบคุมทีวีแทนรีโมท และในมุมซ้ายยังมี ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อคหน้าจอ และปุ่มเพิ่ม-ลดระดับสียง
ด้านล่างมีพอร์ต microUSB สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ, ไมโครโฟนขนาดเล็ก สำหรับการบันทึกเสียง และสนทนา
ทางด้านซ้ายจะมีช่องเชื่อมต่อหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร และลำโพงเสียงภายนอก
ทางด้านขวาก็จะพบ กับช่องใส่ซิมการ์ด, ช่องใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ที่รองรับได้สูงสุดขนาด 64 GB และลำโพงเสียงภายนอก ดังนั้นด้วยลำโพงเสียง 2 ตัวที่อยู่ด้านข้างตัวเครื่อง เสียงที่ออกมาก็จะเป็นแบบ Stereo ซึ่งจะฟังดูมีมิติมากกว่า
ช่องเก็บปากกา S Pen อยู่ที่มุมบนขวาของตัวเครื่อง
เมื่อพลิกมาด้าน หลังก็จะพบกับพื้นผิวแบบเดียวกันกับ Samsung Galaxy Note 3 นั่นคือการออกแบบด้านหลังโดยใช้วัสดุแบบหนังเทียมหุ้มเอาไว้ ดังนั้นการสัมผัสก็จะรู้สึกนุ่มมือ และให้ความรู้สึกที่ดีกว่าวัสดุแบบพลาสติก หรือโพลีคาร์บอเนต
ถัดขึ้นไปด้านบนจะพบกับกล้องดิจิตอลตัวหลักที่มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมกับไฟแฟลชแบบ LED

 เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอพพลิเคชั่นต่างๆ
สำหรับหน้าตาของ UI (User Interface) บน Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) จะเป็น User Interface แบบ Samsung TouchWiz และ Samsung Live Panel UX โดยจะมีการแสดงข้อมูลการแจ้งเตือน หรือข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เช่น 3G, WiFi และสถานะแบตเตอรี่  เป็นต้น
ที่หน้าจอหลักนี้สามารถปัดซ้าย-ขวา และเพิ่มหน้าต่างได้มากสุดถึง 7 หน้าด้วยกัน
สำหรับส่วนของ Notification ก็จะมีการแจ้งเตือนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เวลา, วันเดือนปี, อีเมล, ข้อความ และยังสามารถปรับการตั้งค่าต่างๆ ในเบื้องต้นได้
เมื่อกดปุ่มโฮมค้างไว้ จะพบกับแอพพลิเคชั่นที่เปิดใช้งานอยู่ทั้งหมด ซึ่งสามารถเลือกปิดการใช้งานที่ค้างไว้ได้ทันที
 
และเมื่อกดปุ่ม เปิด-ปิด เครื่องค้างไว้ประมาณ 2 วินาที ก็จะพบกับทางลัดสำหรับการ ปิดเครื่อง, โหมดเครือข่ายข้อมูล, โหมดการใช้งานบนเครื่องบิน, เริ่มใหม่ และโหมดเปิด-ปิดเสียง
Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) นั้นทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน  4.3 (Jelly Bean) ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดในขณะนี้
เมื่อมีการถอดปากกา S Pen Stylus ออกมาจากช่องเก็บ จะมีการแสดงวงแหวนคำสั่งที่เรียกว่า Air Command ขึ้นมาทันที หรือเมื่อมีการการกดปุ่มที่ด้ามปากกา แล้วจ่อเอาไว้บริเวณใกล้ๆ กับหน้าจอประมาณ 1 วินาที วงแหวน Air Command ก็จะแสดงขึ้นมาให้เห็นโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกัน ซึ่งฟังก์ชัน Air Command นี้ถือว่าเป็นจุดขายสำคัญเหมือนกันกับ Samsung Galaxy Note 3 เลยก็ว่าได้
ในวงแหวน Air Command จะมีฟังก์ชันย่อยต่างๆ ดังนี้ เริ่มจาก Action Memo เป็นฟังก์ชันที่ผู้ใช้สามารถเขียนข้อความต่างๆ แล้วแปลงเป็นคำสั่งที่หลากหลาย ได้ด้วยลายมือ ซึ่งรองรับทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมไปถึงการเขียนตัวเลขด้วย
 
ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการโทรออกไปยังหมายเลขใด เราก็สามารถเขียนหมายเลขนั้นด้วยปากกา แล้วโทรออกได้ทันที และรวมไปถึงยังสามารถรองรับการบันทึกหมายเลข เอาไว้ในสมุดโทรศัพท์, การส่งข้อความ, การส่งอีเมล, การค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์ และการค้นหาสถานที่ เป็นต้น
 
จากตัวอย่างนี้เป็น การนำตัวเลขที่เขียนไว้ มาใช้ในการโทรออก ซึ่งเหมาะสำหรับการจดบันทึกกันลืมไว้กันลืม แล้วนำมาใช้ในการโทรออกได้ทันที
 
ฟังก์ชันต่อมาก็คือฟังก์ชัน Scrapbook (สมุดภาพ)
 
โดยฟังก์ชัน Scrapbook นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถลากเส้นล้อมรอบสิ่งต่างๆ ที่ผู้ใช้สนใจ แล้วนำมาเก็บรวบรวมไว้ในสมุดบันทึกของตนเองได้ ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการเก็บภาพ Samsung Galaxy Note 10.1 ไว้ในสมุดบันทึก ก็เพียงแค่ใช้ปากกาลากเส้นไปรอบๆ
 
จากนั้นภาพ หรือข้อมูลที่เราเลือกไว้ก็จะถูกเก็บบันทึกเอาไว้ใน Scrapbook ของเราทันที โดยสามารถเพิ่มข้อความเพื่อบรรยาย ประกอบการบันทึกของเราได้อย่างง่ายดาย
ฟังก์ชันถัดมาก็คือฟังก์ชัน Screen Write (เขียนบนหน้าจอ)
 
โดยฟังก์ชัน Screen Write จะทำงานด้วยการจับภาพหน้าจอปัจจุบันที่ผู้ใช้กำลังใช้งานอยู่ แล้วจากนั้น ผู้ใช้ก็สามารถขีดเขียน หรือจดบันทึกสิ่งต่างๆ เพิ่มเติมด้วยปากกาได้อย่างอิสระบนรูปภาพนี้นั่นเอง
 
ฟังก์ชันต่อมาก็คือฟังก์ชัน S Finder
ซึ่งฟังก์ชัน S Finder ก็คือฟังก์ชันที่เอาไว้ใช้ในการค้นหาข้อมูลที่มีอยู่ภายในตัวเครื่อง ด้วยรูปแบบของการค้นหาแบบต่างๆ ที่หลากหลาย และสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย

ฟัฟังก์ชันสุดท้ายกับฟังก์ชัน Pen Window

โโดยการใช้งานฟังก์ชัน Pen Window เป็นการลากปากกาเป็นกรอบสีเหลี่ยมขนาดใดก็ได้
จากนั้น ก็จะปรากฏเป็นรายการของแอพพลิเคชั่นพื้นฐาน ที่มักจะถูกเรียกใช้งานกันอยู่บ่อยๆ
ซึ่งฟังก์ชัน Pen Windows นี้สามารถเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้สูงสุดถึง 8 หน้าต่างพร้อมกัน โดยสิ่งที่กำลังทำงานอยู่เบื้องหลัง เช่นหน้า Home Screen ก็ยังคงสามารถทำงานได้ตามปกติ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) เลยก็ว่าได้
เอาใจคนที่ชอบการ ขีดๆ เขียนๆ และคนที่รักในงานศิลปะ เพราะนอกจากจะมีแอพพลิเคชั่น S Note ให้ใช้ตามปกติแล้ว ยังมี Sketchbook Pro ที่พร้อมให้คนรักการวาดภาพได้ใช้งานกันอย่างเต็มที่ โดยติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานภายในเครื่องแบบฟรีๆ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแอพพลิเคชั่นที่ดีที่สุดภายในแท็บเล็ตรุ่นนี้ ที่ เกิดมาเพื่อการวาดรูปโดยเฉพาะ
หากต้องการใช้ งานกราฟ หรือแผนภูมิในรูปแบบต่างๆ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) มีฟังก์ชัน Easy Chart ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสร้างกราฟ หรือแผนภูมิในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
ทั้งตารางแบบปกติ, กราฟแท่ง, กราฟเส้น และกราฟวงกลม นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขตัวเลข บนแท่งกราฟได้อย่างง่ายดาย โดยการแก้ไขข้อมูลด้วยการป้อนข้อมูลจากปากกา S Pen Stylus โดยตรง ที่จะช่วยให้การทำงานเป็นเรื่องที่ง่าย และสนุกขึ้น
แล้วหากจะถามถึงการ ใช้งาน ฟังก์ชัน Multi Window แน่นอนว่าใน Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) นี้มีให้ใช้งานกันด้วยแน่นอน เพื่อให้สามารถเปิดใช้งานหลายหน้าต่างพร้อมกัน (เปิดใช้งานหลายแอพพลิเคชั่นพร้อมกัน บนหน้าต่างที่แยกออกจากกัน) รวมถึงสามารถเปิดแอพพลิเคชั่นเดียวกันในสองหน้าต่างได้ และที่สำคัญคือ หากเป็นแอพพลิเคชั่น ChatON เราสามารถลากรูปภาพ หรือข้อความข้ามไปข้ามมาระหว่าง 2 หน้าต่างได้ทันที เช่นหากต้องการจะส่งรูปในหน้าต่างแชทด้านล่าง ให้กับเพื่อนอีกคนในหน้าต่างด้านบน ก็เพียงแค่ลากรูปไปวางไว้ที่หน้าต่างด้านบนเท่านั้นเอง
Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) รองรับการซิงค์ข้อมูลการบันทึกต่างๆ เข้ากับแอพพลิเคชัน Evernote ระหว่างอุปกรณ์ และสามารถนำกลับมาแก้ไขใหม่ได้อย่างสะดวกง่ายดาย ทุกที่ทุกเวลา
แอพพลิเคชั่น My Magazine ใช้งานได้จากหน้า Home Screen โดยการสไลด์หน้าจอจากด้านล่าง ขึ้นไปด้านบน ก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูล, ข่าวสาร และความบันเทิงต่างๆ ได้ทันที
สำหรับใครที่ชื่น ชอบการชมคลิปวีดีโอผ่านทาง Youtube ก็สามารถรับชมได้อย่างอย่างเพลิดเพลินกับ จอแสดงผลขนาดใหญ่ถึง 10.1 นิ้ว แบบ Super Clear LCD Capacitive Touchscreen ความละเอียด 2560x1600 Pixels (WQXGA : 299 ppi)
นอกเหนือจากนั้น ยังมาพร้อมกับ Smart Remote อีกขั้นของความบันเทิง ที่ควบคุมได้ง่าย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ผ่าน Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition)
ด้วยแอพพลิเคชั่น S Planner จะช่วยให้เราไม่พลาดทุกการนัดหมายสำคัญ กับปฏิทินที่สามารถขีดเขียน และบันทึกเพื่อช่วยเตือนความจำในทุกๆ วันสำคัญ
การใช้งานเว็บเบราว์เชอร์ด้วย Samsung Galaxy Note 10.1 สามารถเข้าชมเว็บไซต์ต่างๆ ได้ลื่นไหล, คล่องตัว และคมชัดเต็มตา
การใช้งานแผนผ่านทางแอพพลิเคชั่น Google Maps จะทำให้การนำทางไปยังจุดหมายต่างๆ ที่ไม่คุ้นเคย กลายเป็นเรื่องง่าย
หากยังไม่จุใจ ก็สามารถค้นหา และดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่ต้องการเพิ่มเติมได้ผ่านทาง Google Play Store
ทดสอบประสิทธิภาพ ของการทำงานโดยรวมด้วยแอพพลิเคชั่น AnTuTu Benchmark โดยเลือกการทดสอบในทุกส่วน ทั้งส่วนติดต่อผู้ใช้, ซีพียู, แรม, จีพียู และอินพุด-เอาต์พุต
ผลการทดสอบที่ได้ก็คือ 31,796 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงมาก เรียกได้ว่าเป็นรอง Samsung Galaxy Note 3 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คุณสมบัติโดยรวมของตัวเครื่อง จากการตรวจสอบผ่านทางแอพพลิเคชั่น AnTuTu Benchmark
Samsung Galaxy Note 10.1 รองรับระบบสัมผัสแบบหลายจุด (Multi-Touch) สูงสุด 10 จุดพร้อมกัน

 การใช้งานกล้องดิจิตอล สำหรับถ่ายภาพนิ่ง และภาพวีดีโอ
User Interface ของ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) นี้ได้ถูกออกแบบมา ให้มีหน้าตาที่ดูเรียบง่าย และสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก ไม่ต่างจาก Samsung Galaxy Note 3 มากนัก
Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) มาพร้อมกับโหมดในการถ่ายภาพมากมาย ทั้ง โหมดออโต้, โหมดหน้าสวย, โหมดเลือกรูปภาพที่ดีที่สุด, โหมดเบสท์เฟซ, โหมดเสียงและช็อต, โหมดดราม่า, โหมดริชโทน, โหมดการลบวัตถุ, โหมดพานอราม่า, โหมดกีฬา และโหมดกลางคืน โดยสามารถแสดงการเลือกโหมดได้ทั้งรูปแบบตารางกริด 2 มิติ
และรูปแบบกรอบสไลด์ 3 มิติ
 
สามารถสลับโหมดมา เป็นกล้องหน้าได้ เพียงกดที่ไอคอนบนด้านซ้ายสุด ของจอแสดงผล และเมื่อสลับมาใช้งานกล้องด้านหน้าแล้ว ก็จะเข้าสู่โหมด ”หน้าสวย” โดยอัตโนมัติ พร้อมสามารถปรับความสวยงามของภาพ ได้ถึง 5 ระดับ และยังมาพร้อมกับลูกเล่นใหม่ ที่สามารถจับภาพได้พร้อมกันทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ด้วยฟังก์ชัน Dual Camera และสามารถกำหนดขนาด และตำแหน่งของภาพอีกกล้องหนึ่งได้
สามารถปรับความละเอียดของภาพถ่ายได้ ตั้งแต่ 3.2 ล้านพิกเซล ไปจนถึง 8 ล้านพิกเซล
สามารถ เปิด-ปิด โหมดการถ่ายภาพต่อเนื่องได้
 
สามารถเลือกรูปแบบการถ่ายภาพ โดยการสัมผัสที่หน้าจอแสดงผลได้
 
สามารถ เปิด-ปิด การตรวจจับใบหน้าได้ เพื่อกำหนดจุดโฟกัสของภาพได้
  
มีทางเลือกสำหรับการปรับระบบวัดแสง ตั้งแต่ เฉลี่ยหนักกลาง,  เมทริกซ์ และเฉพาะจุด
สามารถปรับค่าชดเชยแสง (ISO) ได้ตั้งแต่ ออโต้, 100, 200, 400 และ 800
 
สามารถ เปิด-ปิด โหมดถ่ายภาพสำหรับเวลากลางคืนได้
 
สำหรับในโหมดของการ ถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือวีดีโอ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) ก็สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ละเอียดสูงสุดในระดับ Full HD เช่นเดียวกัน
  
มีฟังก์ชันให้สามารถ ติดแท็กสถานที่ต่างๆ ในขณะถ่ายภาพได้อีกด้วย
 สามารถ เปิด-ปิด การแสดงภาพถ่ายหลังการถ่ายภาพได้
 
สามารถกำหนดปุ่มปรับเสียงให้สามารถใช้งานแทนปุ่มชัตเตอร์ได้ ทั้งการปรับระดับการซูม, การถ่ายภาพ, การบันทึกวีดีโอ
สามารถตั้งเวลาในการถ่ายภาพได้ ทั้ง 2 วินาที, 5 วินาที และ 10 วินาที
มีฟังก์ชันในการ ปรับสมดุลสีขาว (WB) ในโหมดต่างๆ ทั้ง โหมดออโต้, โหมดแสงจ้า, โหมดมีเมฆมาก, โหมดแสงไฟอินแคนเดสเซนท์ และโหมดแสงไฟฟลูออเรสเซนท์
สามารถปรับระดับค่าชดเชยแสงได้ สำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย
สามารถกำหนดการแสดงไกด์ไลน์ เพื่อให้ภาพมที่ออกมาดูมีความสมดุล หรือมีสัดส่วนที่ลงตัวสวยงาม
สามารถการใช้งานเฟลชได้ทั้ง ปิด, เปิด และอัตโนมัติ
สามารถกำหนดการ เปิด-ปิด การถ่ายภาพด้วยเสียงได้

 ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลตัวหลักที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 8 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition)

 ตัวอย่างภาพถ่ายในโหมด HDR ของ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition)

 สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition)
สำหรับในบ้านเรา Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) นี้ได้เปิดตัวมาในช่วงเวลาที่ใกล้ๆ กันกับสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงอย่าง Samsung Galaxy Note 3 และสามารถเรียกได้ว่า ทั้งสองรุ่นนี้เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นการออกแบบดีไซน์, คุณสมบัติต่างๆ ภายในเครื่อง หรือแม้กระทั่งฟังก์ชันการทำงาน ก็จะมีความหลากหลายไม่แพ้กัน หรือบางท่านอาจจะมองว่า เป็นการนำเอา Samsung Galaxy Note 3 มาขยายส่วนก็มีไม่น้อย แต่จริงๆ แล้ว ก็ต้องบอกว่าทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้พัฒนา และออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกันพอสมควร โดยคุณสมบัติหลักๆ ของ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) รุ่นนี้จะมาพร้อมจอแสดงผลขนาด 10.1 นิ้ว แบบSuper Clear LCD Capacitive Touchscreen ความละเอียด 2560x1600 Pixels (WQXGA: 299 ppi) ที่เหมาะกับการนำไปใช้แสดงผลวีดีโอ หรือรูปภาพที่มีความละเอียดสูงเป็นพิเศษ พร้อมชิปประมวลผลตัวแรงอย่าง ชิปเซ็ตExynos 5 Octa 5420 (Quad-Core Cortex-A15 1.9 GHz + Quad-Core Cortex-A7 1.3 GHz), หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 32 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB, รองรับการ์ดหน่วยความจำแบบmicroSD Card ได้สูงสุดขนาด 64 GB, ระบบปฏิบัติการ Android 4.3 (Jelly Bean) ตัวใหม่ล่าสุด ที่ทำให้เราสามารถสนุกไปกับความบันเทิงทุกรูปแบบ หรือการทำงานด้วยแอพพลิเค ชั่นต่างๆ ได้แบบไม่รู้จบ หรือโหมดของการถ่ายภาพ ที่มาพร้อมกับ กล้องหลังที่มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และกล้องหน้าที่มีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล,สามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งด้วยคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็ถือว่าเป็นแท็บเล็ตระดับไฮเอนด์อีกตัวหนึ่ง ที่น่าจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่ง Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) นี้เริ่มวางจำหน่ายกันไปแล้วในบ้านเราเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา ด้วยราคาเพียง 20,900 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาเปิดตัวที่ไม่สูง เรียกได้ว่าเปิดตัวมาด้วยราคาที่ต่ำกว่ารุ่นแรก 1,000 บาท เลยทีเดียว โดยมีให้เลือกกันอยู่สองสีด้วยกันคือ สีขาว และสีดำ แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่ ซัมซุง ประเทศไทยไม่มีโมเดล LTE มาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก หาก ท่านใดสนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และทดลองใช้งานได้ที่ตัวแทนจำหน่าย Samsung ทั่วประเทศ สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ บริษัท Samsung ประเทศไทย ที่ได้ส่งเครื่อง Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) มาให้ทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์ได้ทดสอบให้ทุกท่านได้รับชมกัน แล้วพบกันใหม่ในครั้งต่อไป สวัสดีครับ

 จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition)
- การออกแบบดีไซน์มีความสวยหรูกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ และใช้วัสดุที่ให้ความเป็นพรีเมียมมากกว่าเดิม เช่นที่ด้านหลังตัวเครื่อง ใช้วัสดุแบบหนังเทียม (Faux Leather)
- จอแสดงผลแบบ Super Clear LCD Capacitive Touchscreen 16,700,000 สี ความละเอียด 2560x1600 Pixels (WQXGA : กว้าง 10.1 นิ้ว : 299 ppi) พร้อมหน่วยประมวลผลภาพกราฟฟิคโดยเฉพาะ (GPU) แบบ Mali-T628 MP6
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Exynos 5 Octa 5420 (Quad-Core Cortex-A15 1.9 GHz + Quad-Core Cortex-A7 1.3 GHz)
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 4.3 (Jelly Bean)
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 32 GB
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ได้สูงสุดขนาด 64 GB
- ฟีเจอร์ และแอพพลิเคชั่นที่หลากหลาย สำหรับการใช้งานร่วมกับปากกา S Pen Stylus ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- ฟังก์ชัน Air Command (Action Memo, Scrapbook, Screen Write, S Finder, Pen Window)
- วาดเขียน หรือจดบันทึกด้วยแอพพลิเคชั่น Sketchbook Pro และ S Note
- กล้องดิจิตอลตัวหลักที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 8 ล้าน Pixels พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated Sensor (BSI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการถ่ายภาพในที่มืด, ไฟแฟลช LED, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ
- ถ่ายภาพวีดีโอ (Full HD : 1080p : 1920x1080 Pixels : 30 fps)
- กล้องดิจิตอลขนาดเล็กที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 2 ล้าน Pixels พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated Sensor (BSI) และรองรับการถ่ายภาพวีดีโอ (Full HD : 1080p : 1920x1080 Pixels : 30 fps)
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ WiFi, 3G, EDGE, GPRS
- รองรับการใช้งาน 3G ทุกคลื่นความถี่ภายในเครื่องเดียวกัน
- รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth และ Infrared Port
- ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง) พร้อมฟังก์ชัน A-GPS
- ลำโพงเสียงแบบคู่ ซึ่งให้เสียงแบบ Stereo พร้อมรองรับไฟล์เสียงคุณภาพสูงแบบ Ultra High Quality Audio (192 KHz : 24 bit)
- ช่องต่อสายหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- แบตเตอรี่ Li-Ion Polymer ความจุ 8220 mAh
- มีราคาเปิดตัวเพียง 20,900 บาท ซึ่งถือว่าไม่สูงจนเกินไป

 จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy Note 10.1 (2014 Edition)
- ไม่มีโมเดล LTE ซึ่งใช้ชิปเซ็ต Qualcomm MSM8974 Snapdragon 800 ให้เลือก
- ไม่รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายระยะใกล้แบบ NFC (Near Field Communication)
- ไม่มีวิทยุ FM ในตัว
- ไม่รองรับการถ่ายภาพวีดีโอ Full HD ความเร็วสูงระดับ 60 fps (ถ่ายได้เฉพาะเครื่องโมเดล LTE)
- การใช้งานบางอย่าง อาจจะมีอาการหน่วงอยู่บ้างเล็กน้อย

 โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทาง ศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง บ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *

ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ จาก Thaimobilecenter

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น