เปิดตัว iPhone 6
ที่แน่ๆ งานนี้เราได้เห็นการปรากฎตัวอย่างเป็นทางการของ iPhone 6 รุ่นใหม่และอาจจะได้เห็น iWatch พร้อมทั้ง iPad Air 2 ซึ่งหลายๆ สื่อคาดว่าจะมีการเปิดตัวในงานด้วยเช่นกัน จะมัวช้าอยู่ใยไปชมกันเลยดีกว่าครับ ^^
จับเวลานับถอยหลังการเปิดตัวไอโฟน 6 อีกไม่นานก็จะได้เห็นตัวเป็นของเหล่าสมาร์ทโฟนที่ทุกคนเฝ้ารอคอยหากใครไม่ถนัดภาษาอังกฤษทางทีมงาน Sanook! Hitech เราก็มีการรายงานสดให้เช่นกัน สามารถติดตามกันได้ที่หน้า https://www.facebook.com/Hitech.sanook
สิ้นสุดการรอค่อยอย่างเป็นทางการเพราะในที่สุดงานเปิดตัวสมาร์ทโฟนสุดล้ำรุ่นล่าสุดจากแอปเปิลก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว มาดูบรรยากาศสดๆ ไปพร้อมกันกับฝั่งอเมริการกันดีกว่าครับ แต่ภาพด้านล่างนี่เหมือนกำลังมีม็อบมารวมตัวทำอะไรกันสักอย่าแฮะ..
สัญญาณถ่ายทอดสดเริ่มมาแล้ว พร้อมกับบรรดาสื่อมวลชนเริ่มทะยอยเข้าสู่ห้องจัดงานแล้ว ที่บูธด้านหน้ามีให้เหล่าสื่อมวลชนได้ทำการลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่งานเปิดตัวสินค้าใหม่ในงาน ติดตามการรายงานสดได้ทีหน้า เริ่มต้นกันด้วยภาพของบรรยากาศรอบๆ สถานที่จัดงานกันดีกว่าครับ
ภาพบรรยากาศภายในห้องจัดงานมาแล้ว เหล่าสื่อมวลชนกำลังทะยอยเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อรองานเริ่ม
Tim Cook ขึ้นเวทีอย่างเป็นทางการแล้วครับ..แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นส่งผลให้ภาพสัญญาณถ่ายทอดสดหายไปนะครับ (แบบนี้สงสัยว่าทีมงานชุดนี้จะโดนเจ้ Tim กระซวกหลังจบงานแน่ๆ เลย อิอิ)
มาแล้ว 2 รุ่นตามข่าวลือซึ่งในครั้งนี้ทาง Apple ให้ชื่อ iPhone รุ่นใหม่ที่เปิดตัวว่า "iPhone 6" และ "iPhone 6 Plus" ก็ตามที่หลุดๆ กันมาล่าสุด (ไม่ใช่ iPhone Air กับ iPhone Pro อย่าลที่ลือๆ กันนะ!!)
มาถึงเรื่องความหนาของตัวเครื่อง iPhone 6 จะอยู่ที่ 6.9 มิลลิเมตร ส่วน iPhone 6 plus จะอยู่ที่ 7.1 ซึ่งถือว่ามีความบางกว่า iPhone 5s ซะอีกนะเนี่ย หลายคนสงสัยว่าเครื่องบางลงแบบนี้แล้วแบตล่ะจะถูกลดลงมาไหม? ชิ้นส่วนบางอย่างจะถูกตัดออกไปไหม? ขอบบอกตรงนี้เลยว่าไม่ได้ส่งผลอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ชิ้นส่วนต่างๆ หรือแม้แต่ตัวแบตเองสามารถจัดวางให้พอเหมาะกับขนาดของตัวเครื่องได้อยู่แล้ว
ทาง Apple เผยจำนวนปริมาณของ Pixels ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละรุ่น iPhone 6 มีจำนวนพิกเซลเพิ่มขึ้น 38% ส่วนรุ่น iPhone 6 Plus มีจำนวนพิกเซลเพิ่มขึ้นมากถึง 185 % เลยทีเดียว ขนาดความใหญ่ของหน้าจอเท่ากับ OPPO find 7 และ 7a เลยนะเนี่ย อิอิ
เปรียบเทียบขนาดความกว้างที่เพิ่มขึ้นให้เห็นชัดๆ ของทั้ง 2 รุ่นให้เห็นแบบชัดๆ กันไป
ความละเอียดของหน้าจอที่ให้มาในรุ่น 4.7 นิ้ว 1334 x 750 พิกเซล และความละเอียดของรุ่น 5.5 นิ้วคือ 1920 x 1080 พิกเซล และที่เด็ดก็คือเจ้า iPhone ทั้งสองรุ่นนี้รองรับการใช้งานหน้าจอแบบแนวนอนเหมือน iPad ได้ด้วยนะจ๊ะ..!! (แอบทึ่งนิดนึง เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ Concept ใหม่อะไรแต่รู้สึกว่าทาง Apple กำลังฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ ทิ้งไป มือถือเรือธงของยี่ห้ออื่นๆ เค้าก็ไม่ทำการใช้งานแบบแนวนอนเลยนะ)
และแล้วทาง Apple ก็ออกมานำเสนอเกี่ยวกับชิพประมวลผล Motion Co-processor เจนเนอร์เรชั่นใหม่ที่แฝงมาด้วยความสามารถ และประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้นภายใต้ชื่อว่า "M8"
ชิป M8 สำหรับการใช้งานเกียวกับด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจจับความเคลื่อนไหว วัดอัตราการเต้นของหัวใจ การก้าวเดิน การวิ่ง การออกกำลังกาย หรือทำงานร่วมกันกับแอพสุขภาพต่างๆ
เค้าบอกว่า WIFI จะแรงกว่าเดิม 3 เท่า (แต่ถ้าแหล่งปล่อยสัญญาณ Wi-Fi มันไม่มีแรง อ่อนล้า ก็ช้าเหมือนเดิมล่ะนะ 5555+)
รองรับ VoLTE ด้วย (รองรับการให้บริการทางด้าน Voice บนเครือข่าย LTE ได้ซึ่งปกติแล้ว LTE หรือที่บ้านเราเรียกว่า 4G นั้นจะรองรับการใช้งานทางด้าน Data เพียงอย่างเดียวเท่านั้น...เค้าทำได้ยังไงกันนะ..?)
สเปคของกล้อง กล้องมาเท่าเดิมนะครับ แต่เขาเครมมาว่า ระบบออโต้ โฟกัส ทำงานได้ดี และแม่นยำกว่าเดิม จากที่ข่าวหลุดออกมาบอกว่าความละเอียดกล้องจะเพิ่มไปที่ 13 ล้านพิกเซล ซึ่งจริงๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากทาง Apple ได้ให้เหตุผลว่าความละเอียดที่เหมาะสมสำหรับกล้องมือถือนั้นเพียงแค่ 8 ล้านพิกเซลก็เกินพอแล้ว เพราะถ้ามากกว่านี้ขนาดภาพที่ได้ก็จะใหญ่เกินความจำเป็น ดังนั้นแทนที่จะมัวมาเพิ่มความละเอียดให้สูงๆ เปลี่ยนมาเป็นพัฒนาประสิทธิภาพของกล้องให้ดีขึ้น คมชัดขึ้นดีกว่า
iPhone 6 Plus มาพร้อมระบบกันสั่น (OIS) Optical Image Stabilisation เหมือนใน DSLR
มาพร้อมกับ ระบบปฏิบัติการ iOS 8 ที่เพิ่มความสามารถและฟีเจอร์ที่น่าสนใจเข้ามามากมาย
มาดูกันเลยว่าใครบ้างที่จะได้ไปต่อใน iOS 8 นี้กันบ้าง อุปกรณ์ที่รองรับ ได้แก่ iPhone 4s, iPhone 5, iPhone 5c, iPhone 5s, iPod touch 5th generation, iPad 2 (อยู่คงกระพันจริงๆยังไงก็ไม่มีวันตาย 555+ แต่ครั้งหน้าไม่แน่นะจ๊ะ อิอิ), iPad with Retina display, iPad Air, iPad mini, iPad mini with Retina display สำหรับรุ่นที่เหลือที่ไม่ได้เอ่ยถึงก็ต้องขอกล่าวแสดงความเสียใจด้วยนะครับที่ไม่ได้ไปต่อ เชิญเก็บกระเป๋าแล้วเดินออกจากบ้าน AF ได้เลย อั๊ยยะ...ก็ว่าไปนั่น !!
ส่วน iOS 8 นั้นก็ไม่จำเป็นต้องรอนานแต่อย่างใดทาง Apple ออกมาบอกเองเลยว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดพร้อมกันในวันที่ 17 กันยายน 2557 นี้ เหล่าสาวกทั้งหลายคงจะดีใจกันเต็มที่เลยล่ะสิ ^^
เคสสำหรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ก็มีออกมาหกสีให้เลือกซื้อใช้งานได้แก่ สีดำ สีฟ้า สีส้ม สีเขียว สีเทา และสีแดง
เปิดราคา iPhone 6 แบบติดสัญญาของทั้ง 2 รุ่นโดยรุ่น iPhone 6 มีรุ่นความจุ 128GB ตามข่าวลือ แต่ไม่มีรุ่นความจุ 32GB เนื่องจากทาง Apple ต้องการให้ลูกค้าหันไปใช้งานรุ่นความจุ 64GB กันมากขึ้นนั่นเอง (แต่ที่จริงเริ่มเปิดราคามาที่รุ่น 32GB ก่อนก็ได้นี่นาตัด 16GB ออกไปเลย...แต่อย่างว่ามันเป็นเรื่องของการตลาดจะมาตามใจเราก็คงไม่ได้ล่ะครับ)
ถัดมาก็มาดูราคาเริ่มต้นของแต่ละรุ่นกันดูนะครับ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าราคาที่แสดงให้ท่านเห็นอยู่นี่เป็นราคาที่ติดสัญญา 2 ปีกับผู้ให้บริการนะครับ โดยที่ iPhone 5c นั้นรับเครื่องฟรีไปเลย iPhone 5s ราคาลงมาอยู่ที่ $99 หรือ 3200 บาทเท่านั้น (แอบอิจฉาเล็กๆ อิอิ) ส่วน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ราคาติดสัญญาก็จะเริ่มตั้งแต่ $199 และ $299 ตามลำดับ หรือประมาณ 6,400 บาท และ 9,600 บาท (ในไทยน่าจะมีแบบนี้เนอะต่อให้ ติดสัญญา 2 ปีเหมือนเค้าก็ยอมอ่ะ)
เริ่มเปิดจองวันที่ 12 กันยายน 2557
ส่วนกำหนดการขายล็อตแรกสำหรับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ในวันที่ 19 กันยายน 2557 นั้นต้องขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าไม่มีประเทศไทยนะจ๊ะ !! ย้ำเลยว่าไม่มีประเทศไทย (แทบอยากจะร้องไห้ แต่ก็ชินละเพราะทุกครั้งพี่ไทยไม่เคยติดโผได้วางขาย ล็อตแรกกะเค้าเลยสักครั้งเดียว)
รายชื่อประเทศกลุ่มแรกที่จะวางจำหน่าย US, France,HK,Canda,Germany, Singapore,UK,AUS,JP โดยมีมาให้เลือก 3 สี ได้แก่ที่ทอง สีเทา แล้วก็สีดำ
เพิ่มระบบจ่ายเงิน (Payment) เข้ามาใน iOS 8 แต่ในไทยจะได้ใช้งานกันไหมน้าาาา
ระบบจ่ายเงินของ Apple ใช้ NFC ร่วมกับ Touch ID อีกด้วย ใช้งานง่ายและปลอดภัย
ทาง Apple จะช่วยให้คุณสามารถจ่ายเงินได้ง่ายขึ้นด้วยระบบ Apple Pay ไม่ว่าคุณจะลืมบัตรเครดิตไว้ที่บ้านแต่ไม่ลืมโทรศัพท์อย่าง iPhone 6 หรือ iPhone 6 Plus เท่านี้คุณก็จะชำระเงินได้อย่างง่ายดาย โดยที่ Apple ให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย ความสะดวกในการใช้จ่ายหมดกังวลแม้ว่าอุปกรณ์จะหายหรือว่าโดนขโมยก็จะไม่มีใครใช้ข้อมูลเหล่านั้นได้นอกจากเราเอง
โดยที่ Apple ได้ทำการติดต่อกับเหล่าบริษัทหรือธนาคารใหญ่ๆ ให้หันมาใช้ระบบนี้และทั้งยังขยายไปยังร้านค้าต่างๆ รวมทั้ง Apple Store ด้วย นอกจาก Apple Pay จะใช้แบบ Offline ที่ร้านได้แล้วก็ยังสามารถชำระผ่านระบบออนไลน์ได้เช่นกัน
Apple Pay จะเริ่มใช้งานในเดือนตุลาคม 2557 นี้ที่สหรัฐฯ แต่คิดว่าคงนานกว่าจะเข้าไทยหรือว่าอาจจะไม่เข้าเลยก็เป็นได้เนื่องจากเป็นระบบที่ค่อนข้างใหญ่ และต้องได้รับการตอบรับข้อตกลงในการใช้งานตามร้านค้าต่างๆ ด้วย
ยังไม่จบครับ มาต่อกันที่ Apple Watch สิ่งที่ทุกคนรอค่อย Apple Watch มีให้เลือก 3 คอลเล็คชั่น
Apple Watch จะมีฟีเจอร์เกี่ยวกับสุขภาพ
Apple Watch รุ่นต่างๆ Apple Watch Edition หรูหราด้วยรุ่นทองคำ 18K
Apple Watch Sport
Apple Watch มีด้วยกันอยู่สองขนาด
Apple Watch รองรับทั้ง Facebook และ ทวิตเตอร์ มาดูภาพของหน้าจอของทั้ง 2 กันดีกว่าครับ
สามารถใช้งานแผนที่ได้ด้วย...บอกเลยว่าไม่ธรรมดา
นอกจากนี้นั้นยัง ดูเที่ยวบินได้และบอกเวลารถสาธารณะได้
มาดูกันครับว่าไอโฟนรุ่นไหนรองรับ Apple Watch กันบ้าง iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPhone 5, iPhone 5C, and iPhone 5S
คือแบบสะตั้นกับราคา ถ้าตีเป็นเงินไทยก็ประมาณหมื่นสองแพงมากครับ แต่รับรองขายกระจาย
Apple Watch เริ่มวางจำหน่ายต้นปี 2015 ปีหน้าค่อยว่ากันครับแฟนๆ
สรุปสำหรับการเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus
เป็นไปตามข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone หน้าจอ 4.7 นิ้วภายใต้ชื่อ iPhone 6 และหน้าจอ 5.5 นิ้วภายใต้ชื่อ iPhone 6 Plus นอกจากหน้าจอที่ใหญ่ต่างกันแล้วความสามารถของทั้ง 2 เครื่องเป็นดังนี้
- หน้าจอ Retina Display HD ความละเอียดที่ 1334x759 px และ 1920x1080 px (iPhone 6, iPhone 6 Plus ตามลำดับ)
- จำนวน pixel ของจอเพิ่มขึ้น 38%, 185% (iPhone 6, iPhone 6 Plus ตามลำดับ) เมื่อเทียบกับ iPhone 5s
- ความหนาของเครื่องอยู่ที่ 7.6mm, 6.9mm, 7.1mm (iPhone 5s, 6, 6 Plus ตามลำดับ)
- แบตเตอรีดีขึ้นแต่ไม่มากสำหรับ iPhone 6 แต่ใน iPhone 6 Plus นั้นถือว่าค่อนข้างใช้ได้นาน
- iPhone 6 Plus รองรับ Lanscape Mode
- หน่วยประมวลผลชิป A8 แบบ 64-bit ที่มาพร้อมหน่วยประมวลผลร่วมสำหรับการประมวลผลภาพกราฟฟิก M8
- ชิป A8 เล็กว่า 13% เมื่อเทียบกับ A7
- CPU ทำงานเร็วขึ้น 25%, Graphic ทำงานเร็วขึ้น 50%เมื่อเทียบกับ iPhone 5s
- มีตัววัดแรงดันอากาศที่จะบอกความกดอากาศ, ความสูงได้
- รองรับ Voice Over LTE ความเร็วสูงสุด 150 Mbps
- Gigabit Wifi มาตรฐาน IEEE 802.11ac เล่น Wifi ได้เร็วกว่าเดิม 3 เท่า(แต่เร้าเตอร์ต้องรองรับ AC ด้วย)
- รองรับ Wifi calling เครือข่ายจะต้องเป็นผู้จัดการเรื่องนี้
- กล้องใหม่ความละเอียดเท่าเดิมที่ 8 ล้านพิกเซลแต่คุณภาพดีกว่าเดิมเพราะใช้ Sensor ตัวใหม่หมด
- สเปคกล้องหลัง 8MP, true-tone flash. 1.5 micron pixels, f/2.2 aperture
- โฟกัสภาพได้ไวกว่าเดิม 2 เท่าเทียบกับ iPhone 5s
- บันทึกภาพพาโนรามาขนาดความละเอียดได้สูงถึง 43 megapixels
- กล้องมาพร้อมระบบกันสั่น iPhone 6 มี “digital” image stabilization ส่วน iPhone 6 Plus มี optical image stabilization
- บันทึกวีดีโอความละเอียด 1080p ที่ 30fps หรือ 60 fps มาพร้อมระบบกันสั่นด้วยเช่นกัน
- บันทึกวีดีโอแบบ Slo-mo ได้ที่ 120fps หรือ 240fps
- กล้อง Facetime HD ใหม่ใช้sensor ใหม่หมด f/2.2 และน้ำหนักเบากว่าเดิม 81%
- มาพร้อม iOS 8
- มี 3 สีได้แก่ ทอง,เงิน,เทาดำ
- มี 3 ความจะได้แก่ 16GB, 64GB, 128GB
- ราคา $199, $299, $399 ที่สหรัฐฯ พร้อมติดสัญญา 2 ปี
- เปิดจอง 12 กันยายน เปิดขาย 19 กันยายน 2557 เข้าไทยน่าจะปลายตุลาคม
สรุปสำหรับการเปิดตัว Apple Watch
ข่าวลือให้ชื่อว่า iWatch แต่ชื่อจริงใช้ชื่อว่า Apple Watch มันคือสมาร์ทนาฬิกาที่ได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์มาด้วยกันอย่างลงตัวดั่งที่ Apple ได้กล่าวไว้ว่า “เทคโนโลยีที่เป็นคุณ และเป็นส่วนตัวที่สุดเท่าที่เราเคยมี”
- เป็นนาฬิกาที่ใช้บอกเวลาและทำสิ่งต่างๆ ได้หลากหลาย
- Apple Watch มาให้เลือก 3 แบบ คือ Apple Watch, Apple Watch Sport และ Apple Watch Edition (แบ่งตามแนวการสวมใส่)
- Apple Watch ตัวเรือนสแตนเลสสตีลหรือสแตนเลสสตีล สีดำสเปซแบล็ค จอภาพผลึกแซฟไฟร์ พร้อมสายสวยงามหลากหลายสไตล์
- Apple Watch Sport ตัวเรือนอะลูมิเนียมชุบผิว สีเงินหรือ สีเทาสเปซเกรย์ จอภาพกระจก Ion-X อันแข็งแกร่ง พร้อมสายที่ทนทาน และมีสีสันสดใส
- Apple Watch Edition ตัวเรือนทองคำ 18 กะรัต สีเยลโลว์โกลด์ หรือสีโรสโกลด์ จอภาพผลึกแซฟไฟร์ พร้อมสายและตัวล็อคท่ีงามประณีต
- ความสามารถเช่น แสดงผลเมื่อมีสายหรือข้อความใหม่เข้ามา (Apple Watch จะลิงก์กับ iPhone 5 ขึ้นไป)
- ติดต่อกับเพื่อนๆ ที่ใช้ Apple Watch เหมือนกันได้โดยการส่งข้อความ โทรหา วาดรูป ก็ทำได้
- รับส่งข้อความ
- แจ้งเตือนเมื่อทีอีเมลเข้ามา
- โทรเข้าออกได้ (ต้องลิงก์กับ iPhone)
- มี Siri
- มี navigator หรือแผนที่นำทางได้
- มีระบบการสัมผัสแบบดิจิตอลหรือ Digital Touch ที่จะช่วยให้ผู้สวมใส่รู้สึกได้จากอุปกรณ์
- วาดภาพแล้วส่งให้เพื่อนได้
- ใช้เป็น Walkie-Talkie ได้
- วัดการเต้นของหัวใจได้
- ติดตามกิจกรรมการออกกำลังกายได้
- เตือนความจำ
- ระบบกันน้ำ
- ปฎิทิน, Passbook,แผนที่, เล่นเพลง, ใช้เป็นรีโมทกล้องหรือใช้คุม Apple TV ก็ได้
- ดูรูป, การเชื่อมต่อบลูทูธ เป็นต้น
- ราคาเริ่มที่ $349
- เริ่มขายต้นปี 2015
ฟีเจอร์ของเจ้านาฬิกา Apple Watch นั้นค่อนข้างที่จะเยอะมากๆ ดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่ Apple Watch
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น