ติดตามข่าวสารอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ thaizones.net นะครับ.. ^0^. ขับเคลื่อนโดย Blogger.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Canon แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Canon แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

พรีวิว Nikon D5500 พร้อมหน้าจอสัมผัสตัวแรกของนิคอน

      เปิดตัวและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ  กล้องแบบ DX ของ Nikon ที่มีขนาดเล็กและเบาที่สุดของนิคอนในตอนนี้ Nikon D5500 มีขนาดเพียง 124 มม. (กว้าง) x 97 มม. (สูง) x 70 มม. (ลึก) และหนักเพียง 420 กรัม
     พร้อมกับโชว์จุดเด่นนั้นเป็นกล้อง DSLR ที่เล็กที่สุดเบาที่สุดและบางที่สุดในโลกนั้นเองนอกจากนี้ยังเป็นกล้องตัวแรกที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัสหรือแบบ(Touchscreen) นั้นเอง
     
      วันนี้ทางทีมงาน Sanook! Hitech ได้มีโอกาสสัมผัสตัวจริงของกล้องรุ่นนี้พร้อมทั้งทำพรีวิวเล็กๆ มาฝากกันนิดหน่อยครับ คือต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ค่อยได้พรีวิวกล้องบ่อยนักทำให้บทความนี้ไม่ได้เจาะลึกมากเรื่องการตั้งค่าต่างๆ ของเครื่องมาก โดยหลักจะเขียนในลักษณะของผู้ใช้คนนึงเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขอออกตัวล่วงหน้าไว้ตรงนี้ครับ คิดว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันครับ มาเริ่มกันดีกว่า
สำหรับสเปกของ D5500 มีดังนี้
  • เซ็นเซอร์รับภาพความละเอียด 24 ล้านพิกเซลแบบไม่มี OLPF (Optical Low Pass Filter) ตัวเดิม
  • ขนาดจอ 3.2″ ความละเอียด 1 ล้านพิกเซลเท่าเดิม
  • Viewfinder ขอบเขตภาพ 95% กำลังขยาย 0.82x อย่างเดิม
  • ระบบโฟกัสอัตโนมัติ Multi-CAM 4800DX มีจุดโฟกัส 39 AF และ 9 จุดเป็นแบบ cross-type ตัวเดิม
  • หน่วยประมวลผล Expeed 4 รุ่นเดิม
  • ถ่ายวิดีโอได้ 1080p 60 fps เท่าเดิม
  • ใช้แฟลชหัวกล้องเป็น Master ควบคุมแฟลชตัวอื่นไม่ได้เหมือนเดิม
  • ไม่มีมอเตอร์ในตัวกล้องอย่างเดิม (กล้องรุ่นเริ่มต้นคงจะไม่มีไปตลอด)
  • ถ่ายต่อเนื่องได้ 5 FPS เท่าเดิม
  • เชื่อมต่อ Wifi ได้เหมือนเดิม
      เริ่มจากตัวบอดี้ของ Nikon D5500 กันก่อนเลย ต้องบอกว่าความรู้สึกแรกนั้นประทับใจพอสมควร ด้วยดีไซน์ภายนอกตัวกล้องนั้นค่อนข้างผลิตได้หรูหรา ตัวเลครื่องสีดำ คาดเส้นด้วยสีทอง โด่ดเด่น ทั้งยังผสมผสานวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่แข็งแรงทนทานแต่น้ำหนักเบา ซึ่งเป็นพื้นฐานโครงสร้างไร้รอยต่อที่ล้ำสมัยที่นำมาใช้งานกล้องรุ่นนี้นั้นเอง
      กล้อง D5500 สามารถจับภาพที่สวยงามน่าประทับใจได้ด้วยกล้อง 24.2 ล้านพิกเซล โดยไม่มี low-pass filter (OLPF) ช่วงไดนามิกกว้าง (ISO 100 - 25600) และสัญญาณรบกวนต่ำแม้ในที่ความไวแสง (ISO) สูงให้ภาพที่ไล่ระดับสีที่สมบูรณ์และการแสดงภาพที่ให้สีคมชัดในทุกๆ ช็อต
      Nikon D5500 มาพร้อมหน้าจอแบบทัชสกรีน จอภาพอเนกประสงค์หน้าจอขนาดใหญ่ 3.2 นิ้ว เซ็นเซอร์ภาพ 24.2 ล้านพิกเซลที่ไม่มี low-pass filter (OLPF) มาพร้อมเครื่องประมวลผลภาพ EXPEED 4 ที่ทรงพลัง ช่วยในเรื่องความสะดวกในการถ่ายภาพมุมต่างๆได้ดี
      โดยรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกของ Nikon ที่มาพร้อมจอภาพ LCD จอภาพระบบสัมผัส LCD แบบปรับมุมได้พร้อมมุมมองการมองเห็น 170° เพื่อให้คุณสนุกและสร้างสรรค์การถ่ายภาพได้อย่าง ไร้ขีดจำกัดและจับได้ถนัดมือ
      เพียงแค่แตะจุดที่คุณต้องการโฟกัสแล้วถ่ายภาพ เซนเซอร์ตรวจจับสายตาอย่างเป็นธรรมชาติปิดการแสดงผลข้อมูลการถ่ายภาพ เมื่อคุณมองตรงช่องมองภาพ
 
และเอาใจสาวก Selfie สาวๆ อ่ะครับจอพลิกกลับมาถ่ายตัวเองได้ครับ
      ฟังก์ชันใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้คือ Touch Function ทำให้คุณสามารถใช้การตั้งค่าออโตโฟกัสและรูรับแสงได้ด้วยระบบสัมผัส  และด้วยการแสดงผลข้อมูลหกรูปแบบที่มีให้เลือกใช้ คุณจึงสามารถปรับภาพบนจอภาพของคุณได้อย่างที่ต้องการ
      ส่วนบนด้านขวาของตัวเครื่องนั้นเป็นตำแหน่งของวงแหวนปรับโหมดการถ่ายภาพ ปุ่มต่างๆ ในการเลือกโหมดใช้งานส่วนปุ่มอื่นๆ ก็จะมีระบบวัดแสง ปุ่มชดเชยแสง และปุ่มบันทึกวีดีโอ และก้านสำหรับปุ่ม Live View ส่วนตำแหน่งของปุ่มชัตเตอร์และสวิตซ์เปิด-ปิดก็ยังคงเหมือนเดิม
      สำหรับผมไม่ค่อยได้ทดลองเล่นส่วนนี้เท่าไร ด้วยได้เครื่องมาไม่นาน และอีกอย่างระดับฝีมือในการถ่ายภาพเป็นเพียงมือสมัครเล่นเท่านั้น แล้วแต่ละปุ่มทำไรได้บ้างผมขอไม่ลงรายละเอียดละกันนะครับ ด้วยระยะเวลาที่ได้กล้องมาเล่นนิดเดียว เลยไม่ได้ทำการบ้านส่วนนี้เท่าไร เน้นถ่ายอย่างเดียว
      แฟลชในตัวสามารถเรียกใช้งานได้หากแสงไม่พอ เรียกใช้งานได้ทั้งระบบออโต้ และกดปุ่มลัดได้เลยหากต้องการใช้งาน
ส่วนบนมีไมโครโฟนรับเสียงแบบสเตอริโอและช่องติดแฟลช
      ต่อมาเป็นตำแหน่งของปุ่มปลดล็อคเลนส์ตามด้วยก้านเลือกโหมดโฟกัสของเลนส์ ส่วนนี้มักไม่ได้ใช้งานเท่าไรนัก ปรับให้อยู่ในตำแหน่งอัตโนมัติโลด!!
      ตำแหน่งของปุ่ม (Fn) เพื่อการเข้าถึงการตั้งค่าสำคัญ เช่น การเลือกจุดโฟกัส, รูรับแสง, ความไวแสง (ISO), โหมดการเลือกพื้นที่โฟกัส นั้นอยู่ในตำแหน่งที่สามารถใช้งานได้ถนัดมือครับ
      สำหรับด้านหลังของตัวเครื่องนั้นมีปุ่มควบคุมกล้องหลักๆ ในการเข้าถึงเมนูต่างๆ นอกจากนี้ยังมีปุ่มของการลบภาพด้วย
พอร์ตเชื่อมต่อก็มีมาให้ครบครับจัดเต็มทั้ง USB, HDMI, ไมโครโฟน และ หูฟัง
 แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบรีชาร์จ
 Nikon D5500 ที่ได้มาทำรีวิวนั้นมาพร้อมเลนส์ Kit 18-140 VR
ซูมกันให้เห็นกันชัดๆ นี่คือตัวเลนส์ที่มาพร้อมกันเครื่อง
กล้อง + เลนส์ชุด เที่ยวทั่วโลก
ลองถอดเลนส์ออก
สรุปเรื่องการดีไซน์ของ Nikon D5500 เบื้องต้น
      โดยทั่วไปนั้นเรียกได้ว่า Nikon D5500 รุ่นใหม่นั้นในส่วนของการดีไซน์ ถือว่ายังไม่มีอะไรตื่นเต้นมากนัก การออกแบบยังคงไม่ได้แปลกใหม่หรือทำให้รู้สึกว๊าวววว....จาก Nikon D5300 เท่าไรนัก แต่จะโดดเด่นในเรื่องของ Size เพราะมันกระทัดรัดน่าพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ด้วยมันหนักเพียง 420 กรัมเท่านั้น
ลองมาชมตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้อง Nikon D5500 กันครับสำหรับภาพดังกล่าวทางทีมงานไม่ได้มีการปรับหรือแต่งภาพแต่อย่างใด
      กล้อง D5500 คือกล้องรูปแบบ DX รุ่นแรกที่มีการควบคุมขอบมืดที่ช่วยชดเชยการลดแสงรอบนอกเพื่อให้ได้ความ สว่างที่สมดุลดีเยี่ยม ให้จินตนาการของคุณนำทางด้วยโหมดเอ็ฟเฟ็กต์พิเศษที่ทำให้คุณสามารถเพิ่มความ งดงามของภาพผ่านสี ความสว่าง และสไตล์ที่มีศิลปะ คุณยังสามารถปรับรายละเอียดต่างๆ เช่น ไวต์บาลานซ์ และ Picture Control ในระหว่างไลฟ์วิวได้จากจอภาพ
มาถึงบทสรุปของการใช้งาน Nikon D5500
      เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับการพรีวิว Nikon D5500 กล้องซี่รีย์ DSLR รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะจุดขายอย่างหน้าจอสัมผัสตัวแรกของนิคอน อีกทั้งยังสามารถถ่ายได้ถึง 820 ภาพต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ Built in Wi-Fi ในตัวอีกทำให้ส่งภาพไปยังเครือข่ายสังคมได้ไม่สะดุด
      ใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่น WirelessMobile Utility ที่มีให้ดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งแบบ iOS หรือ Android และนี้คือฟังก์ชั่นใหม่ที่ทำออกมาเพื่อรองรับกระแสโซเชียลต่างๆ ที่มักนิยมถ่ายเสร็จมักโพสอวดกันเดียวนั้น
      และเรื่องหน้าจอแบบสัมผัสนั้นเรียกได้ว่าถูกใจมากจริงๆ ครับเพราะมันทำให้สามารถใช้งานได้รวดเร็ว และง่ายส่วนนี้ต้องยกเครดิตให้ทาง Nikon เค้าเพราะ Nikon D5500 เป็นกล้องรุ่นแรกที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัสนั้นเอง(คู่แข่งเค้ามีกันไปตั้งนานแล้ว)
      คือกล้องแต่ละยี่ห้อ มันก็มีข้อดีข้อเด่นแตกต่างกันไป ว่าใครเก่งด้านใหน ถนัดยังไงเลือกใช้แบบที่ตัวเองถนัดจะดีกว่าครับ แต่หากต้องการกล้องที่เหมาะแก่การพกไปเที่ยวและสามารถช่วยให้เราพัฒนาเรื่องการถ่ายภาพได้เรื่อยๆ ผมว่าเจ้า Nikon D5500 นี้แหละครับถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่เลวเลย!!
      เสียดายผมไม่มีภาพกล้องเมื่อได้ลองใส่ "กริป" หากได้ใส่ผมเชื่อว่า Nikon D5500 คงหล่อไม่เบาเชียว
      ตอนนี้นั้น Nikon D5500 ได้วางขายในประเทศไทยแล้วครับ โดยมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 คือสีแดงและสีดำ ราคาจำหน่ายที่ต่างประเทศพร้อมเลนส์ kit 18-55 mm VR II อยู่ที่ประมาณ 999$  และชุดพร้อมเลนส์ 18-140 mm VR อยู่ที่ 1199.95$ กล้อง D5500 มีให้เลือกทั้งสีดำคลาสสิคและสีแดง
ราคาจำหน่ายของ Nikon D5500 แบ่งออกเป็น 3 แบบดังต่อไปนี้

- Nikon D5500 เฉพาะบอดี้ ราคา 899 ดอลลาร์ หรือประมาณ 29,200 บาท
- Nikon D5500 พร้อม 18-55mm VR II ราคา 999 ดอลลาร์ ประมาณ 34,000 บาท
- Nikon D5500 พร้อม 18-140mm VR ราคา 1199 ดอลลาร์ ประมาณ 39,000 บาท

ที่มา: http://hitech.sanook.com/1394637/

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

Canon และ Apple อุปกรณ์ถ่ายภาพยอดฮิตของชาว Flickr ในปี 2014

Flickr พื้นที่ออนไลน์สำหรับคนรักการถ่ายภาพ ออกมาเปิดเผยตัวเลขน่าสนใจในปี 2014 พูดโดยสรุปคือ Canon และ  คืออุปกรณ์ถ่ายภาพที่ถูกใช้มากที่สุดในปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า Apple จะไม่ได้ผลิตกล้องถ่ายรูป แต่ iPhone ก็เป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานนิยมใช้มากที่สุดสำหรับการสแน็ปเรื่องราวระหว่างการเดินทาง และอันดับที่ 3 คือ Nikon
จากสถิติของ Flickr ระบุว่าภาพถ่ายที่มาจากกล้อง Canon คิดเป็น 13.4% ตามมาด้วย iPhone 9.6% และ Nikon 9.3% ส่วนอับดับที่ 4 และ 5 คือ Samsung และ Sony
ถ้าจะดูเฉพาะภาพถ่ายจากสมาร์ทโฟนอย่างเดียว ต้องบอกว่า Apple กินขาด เพราะ 3 อันดับแรกของ Top 5 คือ iPhone ไล่ตั้งแต่ iPhone 5iPhone 4S และ iPhone 5C ตามมาด้วย Samsung S3 และ Samsung Galaxy S5 ปิดท้ายด้วย iPhone 6 น้องใหม่ที่เพิ่งวางขายเมื่อปลายปีก็เข้ามาอยู่ในลิสต์กับเขาด้วย
นอกจากนี้ iPad และ iPad mini ยังติดเข้ามาเป็นอันดับที่ 8 และ 10 ได้รับความนิยมพอๆ กับ HTC One
สำหรับ Top 5 ในประเภทกล้องแบบ mirrorless กล้องตัวเล็กแต่ความสามารถระดับโปร ได้แก่ Olympus E-M5, Sony A7, Sony NEX-6, Fujifilm X-E1 และ Sony NEX-5N
โดยทาง Flickr ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา มีการอัปโหลดรูปราวๆ 10000 ล้านรูปเข้ามาในระบบ จากผู้ใช้งานมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เจาะลึก! กล้อง Canon EOS 7D Mark II ทายาทรุ่น 2 ครบทุกฟังก์ชั่น

     หลังจากที่แคนนอน (Canon) ปล่อยดีเอสแอลอาร์มาลุยตลาดระดับกึ่งมืออาชีพอย่างรุ่น EOS 7D กันไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ล่าสุดเปิดตัวทายาทรุ่นที่สองของตระกูลในชื่อ EOS 7D Mark II - King of APS-C DSLR Cameraที่สุดแห่งความเร็วในการถ่ายภาพ
     ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ประสิทธิภาพสูง เรียกได้ว่าทั้งช่างภาพมืออาชีพและนักเล่นกล้องตัวจริงทั้งหลายต้อง "ทึ่ง" ไปกับ "ครั้งแรก" ของสุดยอดเทคโนโลยีชั้นสูงในกล้อง EOS ด้วยระบบออโต้โฟกัส 65 จุด โฟกัสเร็วฉับไว มาพร้อมกับชิปประมวลผลภาพ Dual DIGIC6 ให้ภาพสวยงามเหนือชั้น  ถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 10 เฟรมต่อวินาที เซ็นเซอร์ CMOS ขนาด APS-C ดีไซน์ใหม่ ความละเอียดสูงถึง 20.2 พิกเซล ช่วงความไวแสงกว้าง 100-16,000 และเทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF
     ช่วยให้การจับโฟกัสภาพวิดีโอทำงานได้เรียบลื่นและแม่นยำ ไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหว รองรับการถ่ายภาพวิดีโอคมชัดระดับ Full HD 60p และ Time-lapse มองพลังที่เหนือกว่าในการถ่ายภาพสมบูรณ์แบบลงตัวได้ทุกสถานการณ์ และยังมีระบบระบุพิกัดภาพถ่ายด้วยจีพีเอส แค่สเปคคร่าวๆ คิดว่าหลายคนฟังแล้วคงต้องเตรียมหยอดกระปุกรอสอยมาครอบครองกันอย่างแน่นอน                      
     แคนนอนส่ง EOS 7D MK.II มาลุยตลาดกล้อง DSLR ระดับกึ่งอาชีพแทนรุ่นพี่ EOS 7D ที่มาบุกเบิกตลาดไว้เมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งครั้งนี้มีการพัฒนา Feature ใหม่ๆ มาเพียบ มาดูกันหน่อยว่าแคนนอนใส่อะไรแหล่มๆ มาใน EOS 7D MK.II กันบ้าง
                        
EOS 7D Mark II เหนือกว่าด้วยความเร็วและระบบออโต้โฟกัสฉับไวระบบออโต้โฟกัสพัฒนาใหม่แบบ Cross-Type ทั้ง 65 จุด พร้อมความสามารถในการทำงานที่ EV-3 ที่ จุดกึ่งกลาง
     กล้อง EOS 7D รุ่นแรกยังใช้ระบบออโต้โฟกัสแบบ Cross-Type 19 จุด ซึ่งให้ความรวดเร็วและแม่นยำในการโฟกัสภาพสูงระดับหนึ่งแล้ว แต่ใน EOS 7D Mark II ทายาทรุ่นสองนั้น จัดว่ามาไกลกว่ารุ่นพี่เยอะด้วยระบบออโต้โฟกัส 65 จุดแบบ Cross-Type ครอบคลุมพื้นที่โฟกัสมากกว่ากล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ขนาด APS-C ทั่วไป ช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพการจับโฟกัสแม่นยำทุกการเคลื่อนไหวแม้จะเป็นวัตถุเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงก็ตาม และเมื่อใช้งานร่วมกับเทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF ปรับปรุงใหม่ เพิ่มความเร็วในการหาโฟกัสอัตโนมัติ ทำให้โฟกัสแบบติดตามวัตถุเมื่อถ่ายในโหมด Live View รวดเร็วลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด และโฟกัสได้แม่นยำกว่าระบบ Contrast AF ในกล้องปกติทั่วไป  นอกจากนี้จุดโฟกัสจุดกลางเป็นแบบ Dual Cross-Type รองรับการใช้งานร่วมกับเลนส์ f/2.8 ยิ่งช่วยให้กล้องจับโฟกัสได้ดีแม้จะอยู่ในสถานที่ที่มีแสงน้อยมากถึง EV-3 จึงมั่นใจได้ว่าภาพถ่ายที่ออกมาจะมีความคมชัดสูง แม้จะอยู่ในที่ที่มีแสงน้อยมากจนแทบมองไม่เห็นรายละเอียดวัตถุก็ตาม   เมื่อรวมกับระบบจดจำและติดตามวัตถุอัจฉริยะ  EOS iTR และความสามารถในการถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงได้ถึง 10 เฟรมต่อวินาที จึงทำให้กล้อง EOS 7D Mark II สามารถโฟกัสติดตามวัตถุเคลื่อนไหวเร็วได้แม่นยำทั้งเฟรมภาพ ให้คุณไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหว อาทิ นกที่กำลังบินบนท้องฟ้า หรือนักฟุตบอลที่วิ่งเลี้ยงหลบหนีคู่แข่งอยู่ในสนาม เป็นต้น นวัตกรรมคันโยกเลือกพื้นที่ออโต้โฟกัสแบบใหม่ (AF Area Selection Lever) ที่อยู่ล้อมรอบปุ่มควบคุมหลายทิศทาง (Multi-Controller) ด้านหลังตัวกล้อง ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ปรับเลือกโหมด AF Point Selection ทั้ง 7 รูปแบบได้ตามต้องการระหว่างทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องละสายตาจากช่องมองภาพอีกด้วย
                             
     กล้อง EOS 7D Mark II ถือเป็นกล้อง DSLR รุ่นแรกจากแคนนอนที่มีการใช้งานเซ็นเซอร์ CMOS ความละเอียด 20.2 ล้านพิกเซลร่วมกับชิปประมวลผลภาพ Dual DIGIC 6 การผสานสองขุมพลังนี้เข้าด้วยกันช่วยให้กล้องประมวลผลได้ฉับไว ให้ภาพความละเอียดสูง มีสัญญาณรบกวนต่ำ สวยงามสมบูรณ์แบบทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว นอกจากนี้ สำหรับช่างภาพมืออาชีพที่ต้องการจับภาพแอ็คชั่นความเร็วสูง กล้องรุ่นนี้ยังรองรับการถ่ายภาพรูปแบบ RAW ได้มากถึง 31 ภาพพร้อมกัน นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับช่วงความไวแสงที่กว้างถึง ISO 100 -16000 (ขยายเพิ่มได้ถึง ISO 51,600) ครอบคลุมทั้งการถ่ายภาพนิ่งและภาคเคลื่อนไหว 
 ด้านหลังของ EOS 7D MK.II ยังมากับปุ่มและวงล้อที่คุ้นเคยเหมือนเดิม
ความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่อง 10 เฟรมต่อวินาที
      ช่วยให้ผู้ใช้จับภาพวัตถุเคลื่อนไหวทุกรายละเอียดได้อย่างแม่นยำและคมชัด ด้วยความเร็วระดับนี้ผู้ใช้จึงสามารถถ่ายภาพ RAW ต่อเนื่องได้มากถึง 31 ภาพ หรือเท่ากับภาพ JPEG ขนาดใหญ่ถึง 1,090 ภาพ นอกจากนี้ แคนนอนยังพัฒนาให้ชุดชัตเตอร์มีอายุใช้งานยาวนานขึ้นเป็น 200,000 รอบ หรือเพิ่มขึ้น 33% จาก 150,000 รอบในกล้อง EOS 7D รุ่นก่อน
กลไกกระจกสะท้อนภาพพัฒนาใหม่ มีการใช้ระบบมอเตอร์เข้ามาควบคุมการทำงาน
      เพื่อช่วยลดแรงสั่นสะเทือนและเสริมประสิทธิภาพกล้องให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นระหว่างถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง โดยผู้ใช้ยังสามารถปรับตั้งค่าการทำงานให้เข้ากับรูปแบบการทำงานได้หลากหลาย อาทิ โหมดถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง-ความเร็วต่ำ การถ่ายภาพเฟรมเดียว การตั้งค่าถ่ายภาพล่วงหน้า 2 แบบ และยังมีโหมด silent drive ให้เลือกใช้ทั้งสำหรับการถ่ายเฟรมเดียวและการถ่ายภาพต่อเนื่อง โดยสามารถเลือกปรับระดับความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องแบบแมนนวลได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เคยมีเฉพาะในกล้องตระกูล EOS 1D เท่านั้น ซึ่งเหมาะสำหรับสถานที่ที่ต้องการความสงบ
   
ระบบ EOS Scene Detection ปรับปรุงใหม่ ซึ่งใช้เซ็นเซอร์วัดแสงแบบใหม่
      RGB 150,000 พิกเซล + IR 252 โซน เพื่อความแม่นยำที่มากยิ่งกว่า กล้อง EOS 7D Mark II ยังติดตั้งเทคโนโลยีระบบจดจำและติดตามวัตถุอัจฉริยะ EOS iTR (Intelligent Tracking and Recognition) AF system ใหม่ล่าสุดจากแคนนอน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในกล้อง EOS-1D X และระบบวิเคราะห์วัตถุอัจฉริยะ EOS iSA (Intelligent Subject Analysis) ช่วยให้กล้องจดจำสีของวัตถุและใบหน้าของบุคคลได้ ทำให้ระบบ AF ทำงานได้แม่นยำมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น แม้ในกรณีที่วัตถุมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็วหรือทิศทาง ระบบ EOS iTR AF ก็จะทำการเปลี่ยนโหมดโฟกัสให้อัตโนมัติช่วยให้การติดตามวัตถุทำได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด
      ช่องมองภาพอัจฉริยะดีไซน์ใหม่ แสดงภาพสว่างใสครอบคลุมการมองเห็น 100% และยังแสดงข้อมูลสำคัญบนหน้าจออย่างครบครัน อาทิ โหมดถ่ายภาพ การตั้งค่าแสงต่างๆ และมาตรวัดระนาบกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่าต่างๆ ได้ในระหว่างที่ใช้งานช่องมองภาพ เป็นการผสานความสามารถของทั้งช่องมองภาพแบบออพติคอลและอิเล็กทรอนิกส์ให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างลงตัว
บันทึกภาพวิดีโอคมชัดด้วยเทคโนโลยีที่เหนือชั้น
      แคนนอนยังเสริมประสิทธิภาพการถ่ายวิดีโอในกล้อง EOS 7D Mark II ด้วยเทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF ปรับปรุงใหม่ เพิ่มความเร็วในการหาโฟกัสอัตโนมัติแบบ phase-difference ทำให้การโฟกัสติดตามวัตถุเมื่อถ่ายภาพในโหมด Live View และโหมดบันทึกภาพวิดีโอนั้นทำได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นไม่มีสะดุด แม้มีการปรับเปลี่ยนระยะใกล้ไกลของวัตถุก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมช่องใส่เมมโมรี่การ์ดแบบ CF และ SD อย่างละ 1 ช่อง ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกบันทึกภาพและวิดีโอลงในการ์ดทั้งสองอันพร้อมกันได้เลยเพื่อเป็นการสำรองข้อมูลไปในตัว
นอกจากนี้ยังมาพร้อมช่องต่อแบบ USB 3.0 Digital Terminal รองรับการถ่ายโอนข้อมูลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งช่องนี้ในกล้องตระกูล EOS
ในส่วนบอดี้กล้องมีความทนทานแต่น้ำหนักเบาเพราะผลิตจากแมกนีเซียมอัลลอย เคลือบผิวภายนอกแบบใหม่ป้องกันละอองน้ำและละอองฝุ่นได้ดีกว่ากล้อง EOS 7D ถึง 4 เท่า จึงเหมาะกับการถ่ายภาพทุกสถานที่ทุกสถานการณ์ ตั้งแต่การถ่ายภาพกีฬาในร่มไปจนถึงงานแต่งงานที่มีแสงสลัวๆ
กล้อง EOS 7D Mark II รองรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมอย่างแบตเตอรี่กริปรุ่น BG-E16 ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ถ่ายภาพได้ยาวนานยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับช่างภาพที่ทำงานเป็นเวลานานติดต่อกัน มีปุ่มควบคุมการทำงานได้หลากหลายฟังก์ชั่น พร้อมทั้งมีปุ่มปรับเลือกพื้นที่โฟกัสอัตโนมัติ ช่วยให้การถ่ายภาพในแนวตั้งทำงานได้ง่ายและสะดวกและผู้ใช้ยังสามารถเลือกใช้งานร่วมกับ Super Precision Matte type focusing screen (อุปกรณ์เสริมแยกจำหน่าย) ช่วยให้การปรับจุดโฟกัสทำได้ง่ายและได้ภาพคมชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อใช้งานกล้องร่วมกับเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างๆ อย่าง f/2.8 หรือสูงกว่านั้น

นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สายรุ่น WFT-E7 ช่วยให้ถ่ายโอนข้อมูลจากกล้อง EOS 7D Mark II ไปยังเวิร์คสเตชั่นต่างๆ ทำได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว รองรับการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์คตามมาตรฐาน IEEE 802.11 a/b/g/n ซึ่งมีความเสถียร และความรวดเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูง 

สำหรับราคาจำหน่ายเฉพาะตัวบอดี้กล้องอยู่ที่ประมาณ 1,799 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 58,000 บาท และ ชุดเลนส์คิต บอดี้กล้องพร้อมเลนส์ 18-135 มม. f3.5-5.6 IS STM อยู่ที่ราคา 2,149 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 69,000 บาท นอกจากนี้ยังมีทั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่กริ๊ป และ อุปกรณ์เชื่อมต่อไร้สาย งานนี้ใครที่รักการถ่ายภาพก็มาร่วมทดสอบประสิทธิภาพความแรงของกล้อง EOS 7D Mark II รุ่นใหม่ด้วยตัวคุณเองได้ที่บูธ แคนนอน ภายในงาน Photo Fair 2014 ระหว่างวันที่ 26 – 30 พฤศจิกายน 2557 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ส่วนสาวกแคนนอนที่หยอดกระปุกรอเจ้า EOS 7D Mark II ไว้ก่อนหน้านี้ งานนี้ไม่มีพลาดอยู่แล้ว และระหว่างรอจับกล้องของจริง ก็ลองแวะเข้าไปชมรีวิวแหล่มๆ ยั่วน้ำลายกันก่อนได้เลยที่
ดูรายละเอียดสินค้าได้ที่ www.canon.co.th
Advertorial
     
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> hitech.sanook.com

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

เปิดตัวกล้อง DSLR ใหม่จาก Canon รุ่น EOS 7D Mark II

เปิดตัวกล้อง DSLR ใหม่จาก  รุ่น EOS 7D Mark II
Canon EOS 7D Mark II เป็นรุ่นต่อจาก EOS 7D ที่เป็นรุ่นสูงสุดสำหรับกล้องเซนเซอร์แบบ APS-C ที่อยู่ในรุ่นล่าง และ รุ่นกลาง ของกล้อง DSLR ทั้งหมดของ Canon โดยรุ่นนี้ก็มีการพัฒนาหลายอย่างให้ดีขึ้นมาทั้งการโฟกัส เซนเซอร์ และเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ
สำหรับกล้องรุ่นนี้ใช้เซนเซอร์ APS-C ขนาด 20 ล้านพิกเซล โดยมีชิพประมวลผล Dual DIGIC 6 สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ถึง 10 ภาพต่อวินาที ปรับ ISO ได้ตั้งแต่ 100 - 51200 โฟกัสภาพได้แบบ cross-type 65 จุด

ตัวเครื่องใช้แม็กนิเซียม อัลลอย ชัทเตอร์ใช้งานได้มากกว่า 200,000 ครั้ง จอ LCD ขนาด 3 นิ้ว พร้อมมีระบบโฟกัสผ่านจอแบบ Live View ที่ยอดเยี่ยมด้วยเทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF ช่องมองภาพเห็นได้ครบ 100 % มีช่องเสียบการ์ดทั้งสำหรับการ์ดแบบ CF และ SD เชื่อมต่อกับคอมได้ผ่าน USB 3.0 มี GPS ในตัว สามารถถ่ายวิดีโอแบบ Full HD ได้ถึง 60p

โดยกล้องตัวนี้ จะเริ่มวางขายในเดือนพฤศจิกายน ที่ราคา 1,799 ดอลลาร์หรือประมาณ 58,000 บาท สำหรับตัวกล้องอย่างเดียว
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> hitech.sanook.com

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

มาแล้ว Nikon D750 กล้องฟูลเฟรมรุ่นใหม่

มาแล้ว  กล้องฟูลเฟรมรุ่นใหม่ พร้อมจอแบบปรับหมุนได้และ Wi-Fi ในตัว
หลังจากมีข่าวลือของ Nikon D750 มายังไม่ครบเดือน วันนี้ Nikon ก็ได้เปิดตัว D750 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยสเปคส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามข่าวลือก่อนหน้านี้
Nikon D750 เป็นกล้องฟูลเฟรมที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ขนาด 24.3 เมกะพิกเซล ใช้ชิปประมวลผลภาพ EXPEED 4 ตัวเดียวกันกับ D810 และ D4s มีจุดโฟกัส 51 จุด และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบกลุ่มพื้นที่ ความเร็วชัตเตอร์สูงสุด 1/4000 วินาที สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงสุดที่ 6.5 ภาพต่อวินาที ค่าความไวแสง 100-12800 (ปรับเพิ่มเป็น 50-51200 ได้) มีระบบวัดแสงแบบ highlight-weighted metering
ตัวกล้องมีขนาด 141 x 113 x 78 มม. น้ำหนักประมาณ 750 กรัม ใช้แบตเตอรี่ EN-EL 15 สามารถบันทึกภาพได้ประมาณ 1,230 ภาพ บันทึกวิดีโอความยาว 55 นาที และจัดว่าเป็นกล้องฟูลเฟรมตัวแรกของ Nikon ที่มีจอแบบปรับหมุนได้ และมี Wi-Fi ในตัวให้เสร็จสรรพ โดยจอภาพมีขนาด 3.2 นิ้ว ความละเอียด 1,229,000 พิกเซล
Nikon D750 ออกแบบมาเพื่อใช้ในการถ่ายวิดีโอ เรียกได้ว่าสืบทอดคุณสมบัติมาจาก D810 มีเมนูสำหรับการถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะ มีโปรไฟล์วิดีโอแบบแฟลต สามารถปรับค่ารูรับแสงขณะถ่ายได้ และถ่ายวิดีโอความละเอียด 1080p ได้สูงสุดที่ 60 เฟรมต่อวินาที
ราคาของ Nikon D750 อยู่ที่ 2,299.95 ดอลลาร์ หรือประมาณ 74,000 บาท พร้อมจำหน่ายปลายเดือนนี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้แล้ว Nikon ยังเปิดตัวเลนส์ตัวใหม่ Nikkor AF-S 20mm f/1.8G ED เลนส์มุมกว้าง โค้ทผิวแบบนาโนคริสตัล ราคา 799.95 ดอลลาร์ (ประมาณ 25,700 บาท) และแฟลช Speedlight SB-500 ราคา 249.9 ดอลลาร์ (ประมาณ 8,000 บาท)
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> hitech.sanook.com