Labels

ติดตามข่าวสารอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ thaizones.net นะครับ.. ^0^. ขับเคลื่อนโดย Blogger.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โทรศัพท์มือถือ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โทรศัพท์มือถือ แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

คาด Apple เตรียมเปิดโปรแกรมให้ผู้ใช้ Android เอาเครื่องมาแลกซื้อ iPhone ได้

ภายหลังที่ Tim Cook ได้เปิดแสดงตนว่า iPhone 6 พร้อมด้วย iPhone 6 Plus ทำให้ตัวเลขผู้ที่ขนย้ายค่ายมาจาก Android เพิ่มขึ้นมากสุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้แอปเปิลเร่งเพิ่มแรงจูงใจมากขึ้น ด้วยการเปิดโปรแกรมนำ Android มาแลกซื้อ iPhone
โดยคาดว่าโปรแกรม Trade-in นี้จะคล้ายกับโปรแกรมเดิมที่เราทำได้นำสินค้าของแอปเปิลไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Mac มาแลกเป็น Gift Voucher ได้ที่ร้าน Apple Store
ทั้งนี้แหล่งข่าวจาก 9to5mac เปิดเผยว่าแอปเปิลเตรียมขยายโปรแกรมนี้เพื่อผู้ใช้ Android ซึ่งมูลค่าของเครื่องที่แลกได้ ก็ขึ้นอยู่กับสภาพพร้อมด้วยอายุใช้งานของแต่ละเครื่องอีกด้วย
ก่อนหน้านี้แอปเปิลได้ทำหน้าเว็บแนะนำขั้นตอนต่างๆ ด้วยว่าผู้ที่ใช้ Android แล้วมุ่งหมายเปลี่ยนมาเป็น iPhone มาแล้ว ซึ่งคาดว่าโปรแกรมนี้คราวเริ่มมา น่าจักจูงใจผู้ใช้ Android ให้เลื่อนค่ายมาไม่น้อยเลยทีเดียว

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

มือถือราคาไม่เกิน 10,000 บาท ที่คุ้มค่าน่าซื้อมากที่สุดในช่วงนี้

     ช่วงนี้มีสมาชิกเว็บไซต์ไทยโมบายเซ็นเตอร์ ได้ไถ่ถามกันเข้ามามากเหลือเกิน ว่าหากมีงบประมาณไม่เกิน 10,000 บาท จะเลือกซื้อมือถือ หรือสมาร์ทโฟน รุ่นใดดี หรือรุ่นใดจะคุ้มค่าน่าซื้อมากที่สุด และจะว่าไปแล้ว ผู้ซื้อส่วนใหญ่ที่ตั้งงบประมาณในระดับ 10,000 บาท นี้ไว้ ก็มักจะให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าเป็นอันดับต้นๆ ในขณะที่เรื่องของการออกแบบดีไซน์ หรือเรื่องของแบรนด์ ก็จะถูกนำมาพิจารณาเป็นเรื่องรองๆ ไป
     ด้วยเหตุนี้ทีมงานของเราจึงตัดสินใจทำการสำรวจ พร้อมรวบรวมข้อมูลของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่มีวางจำหน่ายทั่วไป ณ ปัจจุบัน ที่อยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 6,000-10,000 บาท และเมื่อรวบรวมข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาลองนับๆ ดู ก็แทบไม่น่าเชื่อว่าเหมือนกันว่าสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจในราคาระดับนี้จากแบ รนด์ต่างๆ มีให้เลือกอยู่ถึงกว่า 30 รุ่นเลยทีเดียว ซึ่งทำให้เห็นว่าตลาดสมาร์ทโฟนในระดับราคา 10,000 บาท มีการแข่งขันกันสูง ช่างดุเดือดร้อนแรงเป็นอย่างยิ่ง
     แต่การที่ทีมงานจะเอาสมาร์ทโฟนกว่า 30 รุ่นดังกล่าวมาแนะนำกันทั้งหมดก็คงจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก ทางเลือกที่น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านมากกว่าคือการคัดเลือกเฟ้นหารุ่นที่คุ้มค่าโดดเด่นจริงๆ มาแบบเน้นๆ ให้เหลือตัวเลือกที่ดีที่สุดเพียงแค่ประมาณ 10 รุ่นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้ใครก็ตามที่กำลังเลือกซื้อสมาร์ทโฟนในระดับราคาไม่เกิน 10,000 บาท สามารถตัดสินใจเลือกซื้อรุ่นที่เหมาะกับตนเองได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
     เมื่อเราได้ลองวิเคราะห์กันดีๆ แล้ว สมาร์ทโฟน ในระดับราคาไม่เกิน 10,000 บาท นั้นถือได้ว่ามีคุณสมบัติที่เพียบพร้อม เหลือเฟือสำหรับการใช้งานทุกประเภท รวมถึงคุณสมบัติบางอย่างนั้นเทียบชั้นได้กับสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ที่มีราคาตั้งแต่ 15,000 บาท ขึ้นไปเสียด้วยซ้ำ เช่นจอแสดงผลที่มีความละเอียดมากถึงระดับ Full HD 1080p, หน่วยความจำ RAM ขนาดใหญ่ 2 GB, หน่วยประมวลผลระดับ Octa-Core พร้อมสถาปัตยกรรมแบบ 64-bit, กล้องดิจิตอลความละเอียด 18 ล้านพิกเซล, การถ่ายวีดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K UHD, ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุด เช่น Android 4.4 KitKat หรือ Windows Phone 8.1, การรองรับเทคโนโลยีเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE และแบตเตอรี่ความจุสูงที่จะช่วยให้เราสามารถใช้งานเครื่องได้ยาวนานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
     เกริ่นนำกันมาเสียยาว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาติดตามกันเลยดีกว่าว่า มือถือ หรือสมาร์ทโฟน ระดับราคาไม่เกิน 10,000 บาท ที่คุ้มค่าน่าซื้อมากที่สุด ประจำเดือนนี้ (กุมภาพันธ์ 2558) ที่ทีมงานเว็บไซต์ไทยโมบายเซ็นเตอร์คัดสรรมาให้แบบเน้นๆ จะมีรุ่นใดบ้าง ซึ่งรับรองได้ว่าจะต้องมีรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่โดนใจท่านผู้อ่านอย่างแน่นอน
Wiko RIDGE FAB 4G ราคา 6,990 บาท
     Wiko RIDGE FAB 4G สมาร์ทโฟนจากแบรนด์น้องใหม่มาแรง สัญชาติฝรั่งเศสรุ่นนี้ เพิ่งเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก แบบสดๆ ร้อนๆ ภายในงาน Thailand Mobile Expo 2015 ระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งด้วยความคุ้มค่าเกินราคา 6,990 บาท ของ Wiko RIDGE FAB 4G จึงมีกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ส่งผลให้สินค้าที่มีจำนวนจำกัดไม่พอจำหน่ายภายในงาน จนต้องลงชื่อสั่งจองล่วงหน้า และกว่าสินค้าล็อตใหม่จะพร้อมวางจำหน่ายกันอีกรอบ ก็น่าจะต้องรอไปถึงช่วงเดือนมีนาคม
     โดยคุณสมบัติเด่นของ Wiko RIDGE FAB 4G ก็จัดเต็มไม่แพ้ใคร เริ่มตั้งแต่จอแสดงผลแบบ IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Quad-Core 64-bit Qualcomm MSM8916 Snapdragon 410 ความเร็ว 2.3 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 KitKat, หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 16 GB
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, แบตเตอรี่ 2,820 mAh, รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายแบบ 4G LTE, รองรับการใช้งานสองซิมการ์ด และจุดขายสำคัญอีกอย่างก็คือพื้นผิวด้านหลังตัวเครื่องแบบ Sandstone พร้อมกรอบด้านข้างตัวเครื่องแบบอลูมิเนียม
HTC Desire 820s ราคา 9,990 บาท
     HTC Desire 820s รุ่นนี้ช่วยพิสูจน์ให้เราได้เห็นว่า แม้จะเป็นแบรนด์ใหญ่แบรนด์นอก แต่ก็สามารถมีสมาร์ทโฟนสเปคดีๆ ในราคาคุ้มค่าได้ไม่แพ้แบรนด์เล็กๆ เหมือนกัน จนทำให้กลายเป็นรุ่นที่หลายๆ คนพร้อมใจเทคะแนนให้อย่างล้นหลามในช่วงนี้ โดย HTC Desire 820s นั้นมีราคาอยู่ที่ 9,990 บาท
     ซึ่งเรียกได้ว่าพอดีกับงบประมาณแทบไม่ขาดไม่เกิน และมาพร้อมกับความโดดเด่นในแทบทุกด้าน เริ่มตั้งแต่ลำโพงเสียงคู่แบบ BoomSound ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว, จอแสดงผลแบบ Super LCD2 ขนาดใหญ่ 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Octa-Core 64-bit MediaTek MT6752 ความเร็ว 1.7 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 KitKat พร้อม Sense UI 6.0, หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ซึ่งเหมาะกับการถ่ายเซลฟี่ (Selfie) เป็นอย่างยิ่ง, แบตเตอรี่ 2,600 mAh, รองรับการใช้งานสองซิมการ์ด และรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE
ASUS PadFone S ราคา 9,999 บาท
     ASUS PadFone S รุ่นนี้แม้ว่าจะเปิดตัว และวางจำหน่ายมาได้พักใหญ่ แต่คุณสมบัติโดยรวมเรียกได้ว่าสามารถเทียบชั้นกับสมาร์ทโฟนตัวเรือธงของปีที่แล้วได้แบบสบายๆ อีกทั้งด้วยราคาค่าตัวสุดคุ้มเพียงแค่ 9,999 บาท บางครั้งจึงทำให้ ASUS PadFone S กลายเป็นสินค้าหายากไปในทันที
     โดยนอกจากการที่ ASUS PadFone S จะสามารถรองรับกับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Wireless Charging) หรือรองรับการเชื่อมต่อกับ PadFone Station เพื่อใช้งานเป็นแท็บเล็ตได้แล้ว ก็ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติระดับไฮเอนด์จัดเต็มมากมาย ได้แก่ หน้าจอแสดงผลแบบ Super IPS+ ขนาด 5.0 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1920x1080 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Quad-Core Qualcomm Snapdragon 810 (Krait 400 MSM8974AB) ความเร็ว 2.3 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 KitKat พร้อม ASUS ZenUI, หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB,
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, รองรับการถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ 4K UHD, กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE และรองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ NFC
Doogee DG900 Turbo2 ราคา 7,990 บาท
     Doogee DG900 Turbo2 แม้ชื่อแบรนด์อาจจะยังไม่คุ้นหู แต่รุ่นนี้ก็มีดีไม่แพ้รุ่นดัง เริ่มตั้งแต่การออกแบบดีไซน์แบบ Double Glass ด้วยกระจก Gorilla Glass 3 ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวเครื่อง พร้อมความบางเฉียบเพียง 6.9 มิลลิเมตร
     ซึ่งก็ช่วยให้ตัวเครื่องดูสวยหรูไม่เบา แม้ดูเผินๆ แล้วจะมีส่วนคล้ายกับวินโดวส์โฟนตระกูลดังอยู่บ้างก็ตามที แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าคุณสมบัติหลายๆ ส่วนที่เทียบชั้นได้กับสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลแบบ IPS OGS ขนาด 5.0 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1920x1080 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Octa-Core MediaTek MT6592 ความเร็ว 1.7 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 KitKat, หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 18 ล้านพิกเซล (ใช้ซอฟต์แวร์ขยายความละเอียดจากปกติที่ 13 ล้านพิกเซล) พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และรองรับการใช้งานสองซิมการ์ด กับราคาค่าตัวเพียงแค่ 7,990 บาท จึงทำให้ Doogee DG900 Turbo2 กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง
ZTE Star 1 ราคา 7,990 บาท
     ZTE Star 1 สมาร์ทโฟนสุดคุ้มจากแบรนด์ใหญ่สัญชาติจีน ซึ่งก่อนหน้านี้แบรนด์ ZTE อาจจะยังไม่มาลุยตลาดในประเทศไทยอย่างจริงจัง
     เพียงแค่พอจะมีให้เห็นผลงานจากการผลิตสมาร์ทโฟนแบบ OEM ให้กับเครือข่ายชั้นนำในบ้านเราอยู่บ้าง แต่ล่าสุด ZTE ก็ตัดสินใจลุยตลาดในบ้านเราอย่างจริงจังด้วยตนเองเสียที และรุ่นที่น่าสนใจที่สุดในช่วงนี้ก็เห็นจะเป็น ZTE Star 1 ซึ่งเป็นรุ่นท๊อปของทาง ZTE เอง โดยมีความโดดเด่นตั้งแต่เรื่องของการออกแบดีไซน์ที่สวยหรูบางเฉียบกะทัดรัด พร้อมกับการปิดผนึกด้วยกระจกที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ส่วนคุณสมบัติโดยรวมหากจะเรียกว่าเกินราคา 7,990 บาท ก็คงจะไม่ผิดนัก
     เริ่มตั้งแต่หน้าจอแสดงผลแบบ IPS OGS ขนาด 5.0 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1920x1080 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Quad-Core Qualcomm Snapdragon 400 (MSM8928) ความเร็ว 1.6 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 KitKat พร้อม MiFlavor UI, หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB    
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED (Dual-Tone), ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, การเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Infrared (IR Blaster) และรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE
Lenovo S90 ราคา 9,990 บาท
     Lenovo S90 หรือ Lenovo S90 Sisley รุ่นนี้ หากดูกันที่การออกแบบดีไซน์แล้ว ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนมาจาก iPhone 6 ทั้งดีไซน์ตัวเครื่อง และดีไซน์ของสื่อโฆษณา แต่นั่นก็อาจจะเป็นจุดขายสำคัญอย่างหนึ่งของ Lenovo S90 รุ่นนี้เลยก็ว่าได้
     เพราะเชื่อว่าคงมีใครหลายๆ คนที่อยากได้สมาร์ทโฟนที่มีดีไซน์แบบ iPhone 6 แต่ระบบข้างในเป็นแอนดรอยด์ แถมราคายังถูกกว่าเป็นเท่าตัวอีกต่างหาก โดยนอกจาก Lenovo S90 จะโดดเด่นในเรื่องของการออกแบบดีไซน์ด้วยบอดี้แบบ Aluminum Alloy Unibody แล้ว คุณสมบัติด้านในเมื่อเทียบกับราคา 9,990 บาท ก็ถือว่าคุ้มสุดๆ เลยทีเดียว
     เริ่มตั้งแต่หน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 5.0 ความละเอียดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Quad-Core 64-bit Qualcomm Snapdragon 410 (MSM8916) ความเร็ว 1.2 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 KitKat, หน่วยความจำภายในขนาด 32 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE และรองรับการใช้งานสองซิมการ์ด
Huawei Ascend G7 ราคา 9,990 บาท
     Huawei Ascend G7 สมาร์ทโฟนสุดคุ้มรุ่นใหม่ล่าสุด จากแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์อันดับสองของโลกรุ่นนี้ นั้นเพิ่งเปิดตัว และวางจำหน่ายไปสดๆ ร้อนๆ ในงาน Thailand Mobile Expo 2015 เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ด้วยราคาที่พอดิบพอดีกับงบประมาณที่ 9,990 บาท
     โดยมาพร้อมกับบอดี้ตัวเครื่องแบบโลหะ กับดีไซน์ที่สวยหรูทันสมัย พร้อมเสารับสัญญาณสองตัวแบบ Smart Dual-Antenna Switching ที่ช่วยให้การรับสัญญาณมีความเสถียรต่อเนื่องไม่ขาดหาย
     ส่วนคุณสมบัติก็ถือว่าครบเครื่องคุ้มค่าไม่แพ้คู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลแบบ IPS LTPS ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Quad-Core 64-bit Qualcomm Snapdragon 410 (MSM8916) ความเร็ว 1.2 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 KitKat พร้อม EMUI 3.0, หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE และที่เด่นเป็นพิเศษก็คือแบตเตอรี่ที่มีความจุมากถึง 3,000 mAh ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องตลอดทั้งวันแบบสบายๆ
Acer Liquid X1 ราคา 8,990 บาท
     Acer Liquid X1 รุ่นนี้ ด้วยราคาเปิดตัวครั้งแรกที่ 12,990 บาท เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนปีที่แล้ว ก็อาจจะยังไม่ใช่ราคาที่หวือหวามากนัก กระแสจึงค่อยๆ เงียบหายไป
     แต่ล่าสุดเมื่อทางเอเซอร์ตัดสินใจปรับลดราคา Acer Liquid X1 ให้ลงมาเหลือเพียง 8,990 บาท จึงทำให้ Acer Liquid X1 กลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นสุดคุ้มอีกรุ่นหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามในงบประมาณไม่เกิน 10,000 บาท โดย Acer Liquid X1 นั้นมีจุดขายที่แตกต่างในเรื่องของหน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD ที่ใหญ่เต็มตาถึง 5.7 นิ้ว กับความละเอียดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล) พร้อมปุ่ม AcerRAPID ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง
     ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ ก็ถือว่าไม่เป็นรองรุ่นใดในระดับราคาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น หน่วยประมวลผล Octa-Core MediaTek MT6592 ความเร็ว 1.7 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 KitKat พร้อมฟังก์ชัน Acer Zoom Fit และ AcerFLOAT, หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, แบตเตอรี่ 2,700 mAh และรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE
Samsung Galaxy E5 ราคา 9,500 บาท
     Samsung Galaxy E5 รุ่นนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับใครที่เจาะจงว่าต้องการสมาร์ทโฟนจากแบรนด์ใหญ่อย่าง ซัมซุง ในงบประมาณไม่เกิน 10,000 บาท ด้วยราคาของ Samsung Galaxy E5 ที่ไม่ถึงหมื่นเพียง 9,500 บาท
     เพราะหากมองไปถึงรุ่นใหม่ที่เปิดตัวมาในเวลาไล่เลี่ยกันอย่าง Samsung Galaxy E7, Samsung Galaxy A5 หรือ Samsung Galaxy A7 ก็ดูจะเกินงบประมาณไปพอสมควร โดย Samsung Galaxy E5 รุ่นนี้ก็นับว่ามีคุณสมบัติที่สามารถรองรับกับการใช้งานทุกรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 5.0 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Quad-Core 64-bit Qualcomm Snapdragon 410 (MSM8916) ความเร็ว 1.2 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 KitKat พร้อม TouchWiz UI, หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 1.5 GB
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และยังมีจุดขายที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Polycarbonate Unibody ซึ่งมีความแข็งแรงทนทาน และดูสวยงามทันสมัย
BenQ F5 ราคา 5,990 บาท
     BenQ F5 แม้จะไม่ใช่สมาร์ทโฟนจากแบรนด์ดังแบรนด์ใหญ่ในวงการสมาร์ทโฟน และแม้จะเปิดมาพักใหญ่ แต่ด้วยความคุ้มค่าของ BenQ F5 เอง จึงไม่แปลกที่หลายๆ คนที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาคุ้มๆ ต้องนำเอา BenQ F5 มาเป็นตัวเลือกในอันดับต้นๆ ด้วยเช่นกัน
     และกับราคาล่าสุดที่ลดเหลือเพียง 5,990 บาท (จากเดิม 7,990 บาท) จึงทำให้ BenQ F5 กลายเป็นรุ่นที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆ ที่ทีมงานของเราคัดมาให้เลือกสรรกันในวันนี้
     โดยคุณสมบัติเด่นๆ ของ BenQ F5 ก็นับว่าครบเครื่องคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD ขนาด 5.0 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Quad-Core Qualcomm Snapdragon 400 (MSM8926) ความเร็ว 1.2 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 KitKat พร้อม Q UI, หน่วยความจำภายในขนาด 16 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB,
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, กล้องดิจิตอลที่ด้านหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, แบตเตอรี่ 2,520 mAh, รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือหน้าจอแสดงผลจะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Low Blue Light ที่ช่วยปกป้องดวงตาของเราจากแสงสีฟ้านั่นเอง
Sony Xperia C3 ราคา 9,990 บาท
     Sony Xperia C3 รุ่นนี้ ดูเหมือนจะถูกพัฒนามาเพื่อการถ่ายภาพเซลฟี่ (Selfie) โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่กล้องด้านหน้าที่มีความละเอียดถึง 5 ล้านพิกเซลเท่านั้น แต่ที่พิเศษกว่าเพื่อนๆ สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในระดับราคาเดียวกัน ก็คือไฟแฟลชแบบ Soft LED
     สำหรับกล้องหน้าโดยเฉพาะนั่นเอง ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ ก็ถือว่าจัดมาอย่างครบเครื่องคุ้มค่า บนดีไซน์ที่สวยงามหรูหราทันสมัย อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์อายธรรมอย่างโซนี่ ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Quad-Core Qualcomm Snapdragon 400 (MSM8926) ความเร็ว 1.2 GHz, ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 KitKat, หน่วยความจำภายในขนาด 8 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 1 GB
     กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p, แบตเตอรี่ 2,500 mAh, รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE และรองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ NFC โดยรวมแล้วจะมีที่น่าเสียดายอยู่เรื่องเดียวก็เห็นจะเป็นเรื่องของหน่วยความจำที่ให้มาน้อยกว่าเพื่อนนั่นเอง
Nokia Lumia 730 Dual SIM ราคา 8,790 บาท
     Nokia Lumia 730 Dual SIM ดูแล้วน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด สำหรับใครที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Windows Phone พร้อมกล้องหน้าคุณภาพสูงที่พัฒนามาเพื่อการถ่ายภาพเซลฟี่โดยเฉพาะ และฟีเจอร์ที่ครบครันในราคาไม่เกิน 10,000 บาท โดย Nokia Lumia 730 Dual SIM รุ่นนี้มีราคาจำหน่ายอยู่ที่เพียง 8,790 บาท
     และมาพร้อมกับคุณสมบัติที่ครบเครื่องรอบตัว สามารถรองรับกับการใช้งานทุกรูปแบบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ClearBlack ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล), หน่วยประมวลผล Quad-Core Qualcomm Snapdragon 400 (MSM8926) ความเร็ว 1.2 GHz, ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows Phone 8.1
     ซึ่งได้รับการอัพเดทซอฟต์แวร์เป็น Lumia Denim เรียบร้อยแล้ว, หน่วยความจำภายในขนาด 8 GB, หน่วยความจำ RAM ขนาด 1 GB, กล้องดิจิตอลตัวหลักความละเอียด 6.7 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, ถ่ายวีดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p
     กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, รองรับการใช้งานสองซิมการ์ด, รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูงแบบ 4G LTE และรองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ NFC
     โดยรวมแล้วจะมีจุดที่น่าเสียดายอยู่เล็กน้อย ก็คือเรื่องของหน่วยความจำที่ใส่มาให้น้อยกว่าเพื่อน เช่นเดียวกับ Sony Xperia C3 แต่อย่างไรก็ดี สำหรับระบบปฏิบัติการอย่าง Windows Phone 8.1 ด้วยหน่วยความจำ RAM เพียงแค่ 1 GB ก็สามารถทำงานได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีแล้ว
     สำหรับสมาร์ทโฟนในระดับราคาไม่เกิน 10,000 บาท รุ่นต่างๆ ที่ทีมงานคัดมาให้ข้างต้น แต่ละรุ่นต่างก็มีจุดขายที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ทางทีมงานจึงตัดสินใจไม่ทำการจัดอันดับว่ารุ่นใดอยู่อันดับที่เท่าไหร่
     เนื่องจากผู้ซื้อแต่ละท่านก็จะมีพฤติกรรมใช้งานสมาร์ทโฟนในชีวิตประจำวันที่แตกต่างกันไป เช่น บางท่านก็อาจจะเน้นไปที่จอใหญ่ๆ ชัดๆ, บางท่านก็อาจจะเน้นไปที่ซีพียูแรงๆ, บางท่านก็อาจจะเน้นไปที่หน่วยความจำเยอะๆ หรือบางท่านก็อาจจะเน้นไปที่กล้องความละเอียดสูงๆ ดังนั้นสุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะสามารถตัดสินชี้ขาดได้ดีที่สุดก็คือตัวของผู้ซื้อเอง
     และแน่นอนว่าเมื่อเวลาล่วงเลยไป ก็จะมีมือถือ หรือสมาร์ทโฟน รุ่นใหม่ๆ ในระดับราคา 10,000 บาท จากแบรนด์ต่างๆ ทยอยเปิดตัวมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งทีมงานของเราก็จะกลับมาอัพเดทสถานการณ์ล่าสุด พร้อมคัดเลือกรุ่นเด็ดๆ คุ้มๆ ณ เวลานั้นๆ มาให้ทุกท่านได้ติดตามกันอีกครั้ง
     สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม หวังว่าหลังจากที่ทุกท่านอ่านบทความนี้จบไป ก็คงจะได้สมาร์ทโฟนรุ่นที่คุ้มค่าถูกใจในงบ 10,000 บาท ไปใช้งานอย่างมีความสุขกันแบบถ้วนหน้า และหากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไปก็ต้องขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

รีวิว Xiaomi Mi Band สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพที่ราคาถูกสุดในตลาด

เมื่อกลางปีที่แล้วค่ายโทรศัพท์มือถือดังจากจีน Xiaomi เปิดตัว Mi Band สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพในราคาเพียง 79 หยวนหรือประมาณ 400 บาทเท่านั้น โดยผมเพิ่งได้ลองสั่งมาใช้ และเห็นว่าคนไทยน่าจะยังสนใจกันพอสมควร บวกกับยังไม่ค่อยมีรีวิวอย่างละเอียดเป็นภาษาไทย เลยเขียนมาให้อ่านกันครับ

ฮาร์ดแวร์

Mi Band มาในกล่องกระดาษแข็งสีน้ำตาล เปิดออกมาจะเจอกระดาษแข็งหนีบมันอยู่ อุปกรณ์ที่ให้มาด้วยมีเพียงสายรัดข้อมือ, สายชาร์จและคู่มือภาษาจีน
ตัว Mi Band เป็นอะลูมิเนียมอโนไดซ์ และใช้วิธี Perforation คือใช้เลเซอร์เจาะรูเล็กมากๆ เพื่อให้แสง LED ลอดออกมาได้ ส่วนด้านหลังเป็นพลาสติกธรรมดาครับ




ด้านในของสายรัด มีข้อความว่า Designed by Xiaomi
ผู้ใช้ต้องทำการยัด Mi Band เข้าไปในสายเอง ตัวสายจะยืดได้นิดหน่อย ก็ค่อยๆ เลาะๆ เข้าไป แล้วจัดทรงนิดหน่อยเป็นอันเรียบร้อย และเนื่องจาก Xiaomi บอกว่าแบตเตอรี่ของ Mi Band สามารถอยู่ได้เป็นเดือน ทำให้เราไม่ต้องถอดออกมาชาร์จบ่อยๆ จึงไม่ต้องกังวลว่าสายจะย้วยเร็วครับ

การชาร์จไฟทำได้โดยการเสียบ Mi Band ด้านที่มีขั้วเข้าไปในสายชาร์จที่ให้มา ออกแรงนิดหน่อยก็เข้าล็อก ไฟ LED จะสว่างขึ้นมาแสดงสถานะการชาร์จ
ผู้ใช้สามารถเลือกสีของไฟ LED ได้ (น้ำเงิน, ส้ม, เขียว, แดง [ดูแล้วเป็นสีชมพูมากกว่า])

การเปิดใช้งานครั้งแรก และแอพ Mi Fit

ในการใช้งานร่วมกับโทรศัพท์มือถือ ผู้ใช้ต้องดาวน์โหลดแอพชื่อ Mi Fit มาติดตั้ง ผู้เขียนใช้ HTC One M7 รัน Android 5.0.1 GPe สามารถใช้งานได้ทุกฟังก์ชัน ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เปิดแอพมาครั้งแรกก็ต้องสมัคร Mi account ก่อนเลย และจะได้รับ verification code ทาง SMS ด้วย จากนั้นจะต้องใส่ข้อมูลเพศ, วันเกิด, ส่วนสูง, น้ำหนัก และกำหนดเป้าหมาย (goal) ในแต่ละวัน
เสร็จแล้วโทรศัพท์จะทำการค้นหา Mi Band ผ่านบลูทูธ
เมื่อเจอแล้ว ไฟสีน้ำเงินที่ตัว Mi Band จะกะพริบ ให้เราแตะที่ Mi Band หนึ่งทีเพื่อยืนยันว่าเป็นของเราจริงๆ (การแตะนี้จะไม่ได้ใช้งานอีกเลย ทำมาเพื่อการจับคู่อย่างเดียว)

จากนั้นแอพจะทำการอัพเดตเฟิร์มแวร์ของ Mi Band เป็นเวอร์ชันล่าสุดให้ทันที
อันนี้คือหน้าหลักของแอพ ถ้าเลื่อนไปทางซ้ายจะเป็นหน้าสำหรับดูข้อมูลการนอนของเรา

หน้าตั้งค่าเป็นแบบนี้ จะมีการแสดงระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ โดยแกะกล่องมามันก็แจ้งว่าเหลืออยู่ 54% และชาร์จมาเมื่อ 28 วันที่แล้ว (น่าจะเป็นวันผลิต)
เมนูที่มีให้เลือกในหน้าตั้งค่า (วันที่เริ่มใช้ได้รับอัพเดตเป็นเวอร์ชัน 1.0.6.0 แต่ ณ วันที่เขียนบทความนี้เป็น 1.0.8.2 แล้วครับ)
  • Find band - Mi Band จะสั่นและมีไฟติด
  • Band light color - เลือกสีของไฟ LED
  • Band location - เลือกว่าเราใส่ Mi Band ที่ตำแหน่งใดของร่างกาย (มีคอให้เลือกด้วย!)
  • Screen Unlock - ปลดล็อกมือถือโดยที่ไม่ต้องใส่รหัส (จะกล่าวถึงต่อไป)
  • Incoming call - เลือกว่าถ้ามีสายเข้าแล้วให้ Mi Band สั่นหรือไม่
  • Vibrate for notifications - เลือกว่าถ้ามีการแจ้งเตือนแล้วให้ Mi Band สั่นหรือไม่
  • Unpair - ยกเลิกการจับคู่
สำหรับฟังก์ชัน Incoming call เราสามารถเลือกระยะเวลาที่ Mi Band จะสั่นหลังจากสายเข้า เช่นมีคนโทรมา 5 วินาทีแล้วมันจะเริ่มสั่น พอรับสายก็จะหยุดสั่นในเวลาไม่กี่วินาที ผมพบว่าฟังก์ชันนี้มีประโยชน์มากเวลาต้องอยู่ในที่เงียบเช่นห้องสมุด เราสามารถปิดทั้งริงโทนและการสั่นของโทรศัพท์ไปได้เลย (เวลาโทรศัพท์สั่นจะมีเสียงดังหากวางอยู่บนโต๊ะ)
การตั้งปลุก ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ให้เลือกวันและเวลาที่อยากให้ปลุก โดย Mi Band จะสั่นเพื่อปลุกเราอย่างเดียว ไม่มีเสียงปลุกจากมือถือนะครับ จากการทดสอบในคืนแรกที่ใส่นอน พบว่ารู้สึกตัวตื่นทันทีครับ แต่หลังจากสี่ห้าวันผ่านไป ไม่ตื่นแล้ว (ฮา) และถ้าเปิดฟังก์ชัน Early bird alarm มันจะปลุกเราก่อนเวลาที่ตั้งไว้ โดยดูจากการนอน ถ้าใกล้ถึงเวลาปลุกแล้วเราอยู่ในช่วงหลับตื้น (light sleep) มันก็จะปลุกเราทันที ซึ่งการทำแบบนี้เราจะตื่นอย่างสดชื่น กล่าวคือถ้าเราอยู่ในช่วงหลับลึกแล้วโดนปลุก จะทำให้ไม่สดชื่นนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าถึงเวลาปลุกแล้วเรายังหลับลึกอยู่ มันก็จะปลุกอยู่ดีนะครับ

ทุกครั้งที่เปิดแอพ มันจะทำการ sync ทันที ใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาทีก็เสร็จ เราจะมาโผล่ที่ฟังก์ชันที่สำคัญที่สุด คือการนับก้าวและคำนวณแคลอรี่ โดยบอกข้อมูลเช่น วันนี้เดินไปเป็นระยะทางเท่าไหร่, เดินไปกี่ก้าว, เผาผลาญแคลอรี่ไปได้เท่าไหร่ และอื่นๆ ตามรูปครับ
หน้าหลัก บอกข้อมูลคร่าวๆ เอาไว้เช็ค progress ของวันนี้
ถ้ากดเข้าไปจะดูข้อมูลได้ละเอียดระดับเจาะจงเวลาเลย แตะที่แท่งกราฟจะดูได้ว่าเวลาไหนเราเดินไปเท่าไหร่
ส่วนหน้านี้เป็น history เอาไว้ดูย้อนหลัง โดยสามารถดูข้อมูลแบบต่อวัน, ต่อสัปดาห์ หรือต่อเดือนก็ได้
ไฟ LED บนตัว Mi Band ยังสามารถแสดง progress คร่าวๆ ให้ผู้ใช้ทราบได้ด้วย โดยต้องทำท่ายกแขนขึ้นมาเหมือนดูนาฬิกา จากนั้นไฟจะติดขึ้นมาแล้วกะพริบ ซึ่งมีทั้งหมด 4 รูปแบบ ดังนี้
  • ดวงล่างกะพริบดวงเดียว - ทำได้ไม่เกิน 1/3 ของเป้าหมาย
  • ดวงล่างติดค้าง ดวงกลางกะพริบ - ทำได้ไม่เกิน 2/3 ของเป้าหมาย
  • ดวงล่างและกลางติดค้าง ดวงบนกะพริบ - ทำได้เกิน 2/3 ของเป้าหมาย
  • ทุกดวงติดค้าง - ทำได้ตามเป้าหมาย
ท่ายกแขนต้องเป๊ะมากๆ เริ่มจากปล่อยแขนชี้ลงพื้น แล้วยกขึ้นมาเหมือนดูนาฬิกาตามปกติ แต่ผมทำแล้วติดบ้างไม่ติดบ้าง ไม่เวิร์คครับ ควรทำเป็นแบบแตะที่ตัวอุปกรณ์เหมือนพวก Misfit มากกว่า
สำหรับการวิเคราะห์การนอน Mi Band จะรู้ได้เองเมื่อเราเข้านอนและตื่นนอน แต่หลังจากตื่นนอนควรเดินไปเดินมาสักหน่อยเพื่อที่จะให้ Mi Band รู้ว่าเราตื่นแล้วจริงๆ ส่วนใหญ่ผมตื่นแล้วจะอาบน้ำทันทีเลยจะถอดวางไว้ มันเลยนึกว่าเรายังหลับอยู่ครับ (Mi Band สามารถใส่อาบน้ำได้นะครับ แต่ผมไม่อยากเสี่ยงสักเท่าไหร่) อย่างไรก็ตาม หากว่า Mi Band ตรววจับเวลาเข้านอนหรือตื่นนอนผิดไป เราสามารถแก้ได้ทันที และมันจะวิเคราะห์การนอนให้ใหม่ นอกจากนี้ ถ้าเราแตะตรงแท่งกราฟ เช่นแตะแท่งสีม่วงเข้มซึ่งแปลว่าช่วงนั้นหลับลึก แอพจะบอกได้ว่าในช่วงนั้นเราหลับลึกตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง
การตรวจจับการนอนจะไม่ทำงานเวลาเรานอนกลางวันนะครับ ผมก็ไม่ทราบว่าช่วงเวลาที่มันจะเริ่มจับการนอนนั้นเป็นเวลากี่โมง นอกจากนี้ยังดูสถิติย้อนหลังได้แบบการนับก้าวด้านบนเลยครับ
Mi Band ยังสามารถใช้กับกีฬาอื่นนอกจากเดิน/วิ่งได้ด้วย นั่นก็คือการกระโดดเชือกและซิทอัพ ผมลองซิทอัพ พอกดปุ่มแล้วมันจะเริ่มจับเวลาทันที เราก็เริ่มได้เลย มันจะรู้เองและมีเสียงนับให้เราด้วย ลองไป 7 ที นับได้ตรงครับ เสร็จแล้วจะมีการเปรียบเทียบกับผู้ใช้ Mi Band คนอื่นๆ ให้ด้วย


นอกจากกีฬาที่รองรับข้างต้น แอพก็ยังเปิดให้ผู้ใช้โหวตกีฬาที่อยากจะให้ Mi Band รองรับในอนาคตด้วย
อีกฟังก์ชันที่สำคัญและช่วยอำนวยความสะดวกได้มาก คือสามารถตั้งให้ Mi Band เป็น trusted device ได้ และจะไม่ต้องใส่รหัสหรือ pattern เพื่อปลดล็อกโทรศัพท์อีกต่อไป แต่ถ้าหลุดออกจากรัศมีบลูทูธก็จะกลับมาล็อกตามเดิม โดยโทรศัพท์ที่รองรับจะต้องเป็น Android 5.0 ขึ้นไป หรือโทรศัพท์ของ Xiaomi แม้ว่าจะไม่ได้เป็น Lollipop ก็จะใช้ได้อยู่แล้วครับ
สุดท้ายคือแบตเตอรี่ ทาง Xiaomi เคลมว่าสามารถใช้ได้หนึ่งเดือนต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งวันที่เขียนบทความนี้ผมใช้มาครบหนึ่งเดือนพอดี ผมกด sync อย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้ต้องบอกว่าเกินคาดครับ

สรุป

Mi Band ทำผลงานได้น่าพอใจ ระหว่างใช้ไม่พบอาการเอ๋อหรือไม่ตรวจจับการเดินแต่อย่างใด อีกทั้งแอพทำออกมาได้ดีพอสมควร แสดงข้อมูลได้ละเอียดและใช้งานง่าย นอกจากนี้ผมและเพื่อนอีกสองคนซื้อมาใส่พร้อมกัน ไม่มีใครมีอาการแพ้นะครับ
ข้อดี
  • วัสดุเป็นอะลูมิเนียม กระแทกหรือขูดขีดแล้วไม่เป็นรอย
  • น้ำหนักเบามาก หลังๆ ใส่แล้วไม่รู้สึกเลย มีครั้งนึงนึกว่าหลุดหาย
  • แอพทำมาได้ดี
  • แบตเตอรี่ทนกว่าที่โฆษณาไว้
  • การสั่นเตือนเมื่อมีสายเข้ามีประโยชน์กว่าที่คิด
  • ราคาถูก
ข้อเสีย
  • สายเก่าง่าย ใส่ไม่กี่วันเริ่มดูเก่าแล้ว โดนขูดแล้วเป็นรอยถาวร
  • ดู progress จากตัว Mi Band ลำบากมาก ต้องยกข้อมือดีๆ ไม่งั้นต้องเข้าแอพไปดู ถ้าวิ่งอยู่แล้วจะดูนี่หมดสิทธิ์
  • การสั่นปลุกอาจใช้ไม่ได้จริงสำหรับบางคน
บทความนี้ปรากฏครั้งแรกที่บล็อกของผู้เขียน

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

Samsung Galaxy S6 และ S6 edge เริ่มขายในอเมริกา 11 เม.ย. นี้

ข่าวสารความเคลื่อนไหวของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง  และ Samsung Galaxy S6 edge ยังคงถูกจับตามองเช่นเคย
อัพเดทล่าสุดนั้นทางเว็บไซต์ Phonearena ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับการวางจำหน่าย โดยอ้างแหล่งที่มาซึ่งเป็นบุคคลที่ทำงานร่วมกับหนึ่งในสี่ของโอเปอร์เรเตอร์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐว่าสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทั้ง 2 รุ่นจะวางจำหน่ายในวันที่ 11 เมษายนในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่แรกผ่านทางโอเปอร์เรเตอร์ ทั้ง 4 อย่าง AT&T, Verizon, Sprint และ T-Mobile
นอกจากนี้จากรายงานยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่ามีพนักงานซัมซุงได้เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมร้านค้าปลีกทั่วประเทศแล้ว นั้นอาจเป็นไปได้ว่าพวกเค้าเข้ามาแนะนำพร้อมทั้งฝึกอบรมการใช้งานอุปกรณ์ใหม่อย่าง Samsung Galaxy S6 และ Samsung Galaxy S6 edge นั้นเอง
ส่วนจำนวนและปริมาณของสินค้านั้นไม่มีการระบุยอดที่ชัดเจน แต่คาดว่างานนี้คงมีต่อคิวซื้อกันตั้งแต่ยังไม่เปิดร้านแน่นอนครับ!! ด้วยคาดว่าของอาจมีจำนวนจำกัด มาช้าอาจหมดโดยเฉพาะรุ่น Samsung Galaxy S6 edge
ในเมืองไทยนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับวันวางจำหน่ายที่ชัดเจน คงต้องรอลุ้นอีกสักระยะหากมีอะไรอัพเดทเพิ่มเติมทางทีมงาน Sanook! Hitech จะรีบนำมารายงานครับ

เผยเคล็ดลับ วิธีเพิ่มความเร็ว Android ให้ไหลลื่น ไม่สะดุด

เผยเคล็ดลับ วิธีเพิ่มความเร็ว  ให้ไหลลื่น ไม่สะดุดทุกแอปพลิเคชัน ทำได้ง่ายๆ ภายใน 1 นาที
สำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) หลายๆ ท่านอาจจะเกิดปัญหากับการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ที่เมื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันนั้นแล้วไม่ลื่นไหล หรือมีสะดุดไม่ทันใจบ้างเป็นบางครั้ง หรืออาจจะถึงขั้นบ่อยครั้ง
โดยวันนี้ทางทีมไทยโมบายเซ็นเตอร์จะมาแนะนำเคล็ดลับดีๆ ง่ายๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเร็วมือถือสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ของคุณให้ไหลลื่น ไม่สะดุดทุกแอปพลิเคชัน ทำได้ง่ายๆ ภายใน 1 นาที ให้ผู้อ่านได้ชม และลองทำตามกันดูครับ

ขั้นตอนที่ 1 การเปิดโหมด Developer Options
โดยโหมดนี้แม้จะเป็นโหมดที่ออกแบบมาสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่ผู้ใช้งานทั่วไปก็สามารถเข้าใช้งานโหมดนี้ได้เช่นกัน และไม่ส่งผลให้เกิดปัญหากับระบบการทำงานของเครื่อง หรือการรับประกันเครื่องแต่อย่างใด สำหรับโหมดนี้การเข้าไปเปิดใช้งานนั้น เมนูต่างๆ ของแต่ละแบรนด์ และแต่ละรุ่น จะแตกต่างกันไป แต่โดยหลักๆ แล้วก็จะมีความคล้ายคลึงกัน สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้โดยง่าย โดยขั้นตอนแรกให้ผู้ใช้งานเข้าไปที่หน้า Settings และกดเลือก About Phone
ต่อไปให้กดเลือก Device information (สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ อาจจะใช้คำที่แตกต่างกันไป เช่น About device) จากนั้นกดเลือกต่อไปที่ Build number เมื่อถึงตรงส่วนนี้ผู้ใช้งานต้องกดย้ำๆ ให้ครบ 4 ครั้ง ถึงจะมีข้อความขึ้นมาว่า "You are now a developer"
ขั้นตอนที่ 2 การเข้าไปปรับการตั้งค่าในส่วนของ Animation
เมื่อทำตามขั้นตอนที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีเมนู Developer options หรือ โหมดสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ แสดงขึ้นมาในหน้า Settings ซึ่งเมนูจะอยู่ด้านบนของ About phone ซึ่งภายในเมนู Developer options เราสามารถปรับการทำงานในโหมด Animation ได้ โดยให้เข้าไปที่โหมด Developer Options แล้วเลื่อนขึ้นมาจนถึงหัวข้อ Drawing ก็จะมีเมนู Animation ให้เลือกปรับแต่งอยู่ด้วยกัน 3 เมนู ประกอบไปด้วย Window animation scale, Transition animation scale และ Animator duration scale
โดยค่าเริ่มต้นของแต่ละอย่างจะอยู่ที่ค่า 1x เท่านั้น จากนั้นให้ผู้ใช้งานปรับค่าไปที่ .5x เพื่อลดค่า Animation ให้ต่ำลง หรือมีการหน่วงเวลาน้อยลงนั่นเอง หรือหากจะไม่ให้มีการหน่วงเวลาเลย และให้การทำงานดูรวดเร็วฉับไวที่สุดก็ให้ปรับค่าเป็น off เลยก็ได้เช่นกัน แต่หากเราปรับเป็น off แล้วการแสดงผล Animation ในแต่ละแอปพลิเคชันจะหายไป อาจจะดูไม่สวยงามเนียนตา แต่ก็จะทำให้การใช้แอปพลิเคชันต่างๆ ดูไหลลื่นรวดเร็วทันใจกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ผลการทดสอบการปรับค่า Animation ทั้ง 3 เมนู
ค่าเริ่มต้น 1x หรือ .5x เมื่อเปิดแอปพลิเคชันต่างๆ จะเห็นว่ามีหน้าต่าง Animation แสดงขึ้นมาคั่นกลางในตอนแรก
แต่หากเราปรับค่า Animation ทั้ง 3 ค่า ให้เป็น off เมื่อเปิดแอปพลิเคชันต่างๆ จะไม่มี Animation แสดงขึ้นมาคั่นกลางเลย ซึ่งจะช่วยให้การทำงานดูมีความรวดเร็วมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่เอฟเฟกต์สวยๆ หายไปด้วยเช่นกัน