ติดตามข่าวสารอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ thaizones.net นะครับ.. ^0^. ขับเคลื่อนโดย Blogger.
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Apple Pencil แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Apple Pencil แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

iPad mini 4 เปิดราคาในไทยอย่างเป็นทางการ เริ่มต้นที่ 13,400 บาท พร้อมวางจำหน่ายเร็วๆนี้

       หลังจาก Apple จัดงานเปิดตัวขึ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา (วันที่ 10 กันยายนตามเวลาในประเทศไทย) ก็มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่อัปเกรดประสิทธิภาพให้ผู้บริโภคฮือฮากันอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นสมาร์ท โฟนยอดนิยมอย่าง iPhone 6s และ iPhone 6s Plus หรือ iPad Pro แท็บเล็ตจอยักษ์ที่มาพร้อมกับ Apple Pencil และ RAM 4GB ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น
       แต่ว่ายังมีอีกหนึ่งแท็บเล็ตรุ่นเล็กอย่าง iPad mini 4 ที่เปิดตัวไปแบบเงียบๆ แต่กระแสตอบรับก็ค่อนข้างดีไม่ใช่น้อย โดยแท็บเล็ตรุ่นดังกล่าวปรับปรุงประสิทธิด้านการประมวลผล และการทำงานให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยมาพร้อมกับชิปประมวลผล 64-bit Apple A8 ความเร็วในการประมวลผล 1.5GHz และหน่วยความจำแรม (RAM) ที่เพิ่มขนาดขึ้นมาเป็น 2GB จากเดิมมีเพียงแค่ 1GB เท่านั้น

       ล่าสุดทางเว็บไซต์ Apple Thailand ก็ได้ประกาศราคาวางจำหน่าย iPad mini 4 รุ่น Wi-Fi ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีให้เลือก 3 สี คือ สีทอง, สีเงิน และสีเทาสเปซเกรย์ โดยมีราคาดังต่อไปนี้

-   ความจุ 16GB Wi-Fi ราคา 13,400 บาท
-  iPad mini 4 ความจุ 64GB Wi-Fi ราคา 16,900 บาท
-  iPad mini 4 ความจุ 128GB Wi-Fi ราคา 20,400 บาท
       ราคาของ iPad mini 4 ที่ประกาศออกมานี้เป็นราคาเดียวกันกับที่ใช้ในตอนเปิดตัว iPad mini 2 และiPad mini 3 รุ่น Wi-Fi และแน่นอนว่าเมื่อมีผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่เข้ามาวางจำหน่าย Apple ก็มักจะปรับราคาของผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าลดลง โดย iPad mini 2 และ iPad mini 3 ก็ได้ปรับราคาลงแล้ว ดังนี้

-  iPad mini 2 Wi-Fi 16GB  ปรับราคาลงเหลือ 9,900 บาท (ราคาเดิม 10,400 บาท) (ราคาเปิดตัว 13,400 บาท)
-  iPad mini 2 Wi-Fi 32GB  ปรับราคาลงเหลือ 11,700 บาท (ราคาเพิม 12,200 บาท) (ราคาเปิดตัว 16,900 บาท)

-  iPad mini 2 Wi-Fi+Cellular 16GB ปรับราคาลงเหลือ 14,400 บาท (ราคาเดิม 14,900 บาท)
-  iPad mini 2 Wi-Fi+Cellular 32GB ปรับราคาลงเหลือ 16,200 บาท (ราคาเดิม 16,700 บาท)

-  iPad mini 3 Wi-Fi 16GB ปรับราคาลงเหลือ 11,600 บาท (ราคาเดิม 13,400 บาท) (ราคาเปิดตัว 13,400 บาท)
-  iPad mini 3 Wi-Fi 64GB ปรับราคาลงเหลือ 14,400 บาท (ราคาเดิม 16,900 บาท) (ราคาเปิดตัว 16,900 บาท)
-  iPad mini 3 Wi-Fi 128GB ปรับราคาลงเหลือ 17,900 บาท (ราคาเดิม 20,400 บาท) (ราคาเปิดตัว 20,400 บาท)

-  iPad mini 3 Wi-Fi+Cellular 16GB ปรับราคาลงเหลือ 16,100 บาท (ราคาเดิม 17,900 บาท)
-  iPad mini 3 Wi-Fi+Cellular 64GB ปรับราคาลงเหลือ 18,900 บาท (ราคาเดิม 21,400 บาท)
-  iPad mini 3 Wi-Fi+Cellular 128GB ปรับราคาลงเหลือ 22,400 บาท (ราคาเดิม 24,900 บาท)

ก่อนหน้านี้มีผลการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของ iPad mini 4 เผยแพร่ออกมาด้วยว่า iPad mini 4 มีประสิทธิภาพเป็นรองเพียง iPad Air 2 เท่านั้น อีกทั้งยังมีความเร็ว และแรงกว่า iPhone 6 ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วอีกด้วย (รายละเอียดเพิ่มเติม - คลิก)

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ทาง Apple ประกาศราคาออกมาเฉพาะรุ่น Wi-Fi เท่านั้น ส่วน iPad mini 4 รุ่น Wi-Fi+Cellular อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา และขออนุญาตจาก กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) อีกทั้งกำหนดการวางจำหน่ายในประเทศไทยก็ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม ทางทีมงานจะรีบนำมาอัปเดตให้ทราบทันที

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

10 สิ่งที่ Apple ย้อมแมวชาวบ้านแล้วบอกว่า “นี่คือของใหม่“ (จากสาวกแอนดรอยด์)

      นวัตกรรมนั้นมีหลากหลายมากในปัจจุบัน แต่มันก็ต้องมีเรื่องที่ให้กัดกันเล่น ๆ อยู่เรื่อยไป ไม่เว้นแม้กระทั่ง  ผู้ผลิตสินค้าคอมพิวเตอร์เจ้าของ iPhone, iPad และอื่น ๆ ที่ต้องออกมาหาเรื่องว่าฉันมีก่อน มาดูกันว่า สิ่งที่ Apple โม้ว่าฉันพึ่งคิดได้ แต่ความจริงนั้น มีคนทำได้ก่อนหน้าตั้งชาตินึงจนเรียกว่า ย้อมแมว จะมีอะไรบ้าง?

RAM 2GB ใน iPhone 6s


      สิ่งแรกที่ต้องพูดกันก่อนกับ RAM ของเครื่องที่ iPhone 6s จะให้มาที่ 2GB แต่ดูชาวบ้านก่อน ไม่ว่าจะเป็น LG G4, Galaxy Note 5, Huawei P8 และรุ่นท็อปในตอนนี้ ต่างก็ใช้ RAM 3-4GB ออกมาเป็นแถว แล้วและมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า ส่วน iPad Pro ต้องยกให้เขาไปเพราะ RAM 4GB ตอนนี้บน Tablet ยังไม่มีออกมาสักเท่าไหร่ (ส่วนตัวผมคิดว่าระบบปฏิบัติการของ iOS เค้าสามารถจัดสรรทรัพยากรได้ดีกว่านะครับ สังเกตุง่ายได้จากเอาเครื่องทั้งแอนดรอยด์ และไอโฟนมาวางข้างกัน จากนั้นทดสอบเข้าเล่นเกมเดียวกัน ใช้งานต่างๆ เหมือนกัน จะพบว่าไอโฟนก็สามารถทำงานได้โดยที่ไม่มีการหน่วงเลยเหมือนกับแอนดรอยด์ทั้งที่มี RAM น้อยกว่าเท่าตัว หรือหลายเท่าเลยทีเดียว!!)
หน้าจอ 3D Touch
      อันนี้ต้องพูดเลยเพราะว่าความจริงนั้น Huawei Mate S เปิดตัวด้วยจอที่สามารถกดได้หลายระดับหรือเรียกว่า Force Touch มาก่อน ซึ่ง Apple เรียกว่า 3D Touch เหตุเพราะว่าวีดีโอการสาธิตแสดงภาพเหมือน 3D และไม่อยากให้ไปซ้ำกับเทคโนโลยี Force Touch ใน Touch Pad ของ Macbook ซึ่งเอาเถอะ (ไหนๆ ก็จะทำหน้าจอที่รองรับแรงกดได้ทั้งทีจะทำตามคนอื่นเค้าทื่อๆ ได้ยังไงจริงป่ะ อิอิ มันก็ต้องมี Adapt กันบ้างสิฮะ...แต่ถ้าจะให้อธิบายถึงข้อแตกต่างระหว่าง Force Touch กับ 3D Touch มันก็มีหลายอย่างอยู่นะครับ ส่วนเรื่องที่ว่าอันไหนใช้งานได้ง่ายกว่า ดีกว่าก็ต้องให้ผู้ใช้งานจริงเป็นคนบอกเองละกันเนอะ ผมมิบังอาจไปฟันธงหรอกครับ ><)
Retina Flash
      ถ้ากล้องหน้ามืดไป จะทำอย่างไร Apple บอกว่า ก็ใช้ Retina Flash ช่วยก็จบเรื่อง แต่ช้าก่อนท่าน ถ้าท่านจะบอกว่าเทคโนโลยีนี้ใหม่แล้วล่ะก็ ขอบอกว่า มันไม่ใหม่นะครับ เจ้าแรกที่ทำต้องยกความดีให้ LG ซึ่งมีเทคโนโลยีเพิ่มกรอบความสว่างของภาพ โดยมีตั้งแต่ LG G3 แล้วครับ และ G4 ก็พัฒนาให้เก่งขึ้นกว่าเดิมและเนียนขึ้นอีก (Retina Flash ในที่นี้ขอขยายความให้เข้าใจนิดนึงนะครับ มันคือการใช้หน้าจอที่สว่างๆ เพื่อช่วยในการถ่ายภาพนั้นเอง ซึ่งของทาง apple ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานควบคู่กับการถ่ายรูปกล้องหน้า โดยจะมีเซ็นเซอร์รับแสง ณ ขณะนั้นแล้วทำการประมวลผลค่าแสงออกมาแล้วส่งต่อไปยังส่วนควบคุมความสว่าง และสีของหน้าจอเพื่อให้ได้ภาพที่เป็นธรรมชาติที่สุด สวยงามที่สุด ส่วนใน LG นั้นจะเป็นการถ่ายภาพไปก่อนจากนั้นก็ค่อยเอาไปปรับค่าแสง และอื่นๆ ในซอฟต์แวร์อีกทีนึงนั่นเอง...)
Apple Pencil
      เย้ และแล้ว Apple ก็มีดินสอกับเขาสักที อันนี้คงเป็นคำที่สาวกคงพูดกันออกมาในวันเปิดตัว iPad Pro แต่หารู้ไม่ว่าที่จริงเทคโนโลยีปากกาเขียนได้นั้นมีมาตั้งนานแล้ว ซึ่งต้นตำรับที่แท้จริง แน่นอนว่าจะต้องเป็น Samsung ถ้าใครจำ Galaxy Note รุ่นเล็กยันตัวใหญ่ อย่าง Note 10.1 2014 Edtion หรือ Note Pro 12.2 ที่หลายคนลืมไปแล้ว มันก็มี และความแม่นยำไม่ต่างกันเลย ที่เขียนได้เพราะความฉลาดของปากกาที่เรียกว่า S Pen นั่นแหล่ะ และดีกว่าที่ไม่ต้องชาร์จไฟด้วย ขณะที่ Apple ต้องชาร์จไฟอยู่ ข้อนี้กัดก้อนเกลือคำพูดจากท่าน ศาสดา Steve Jobs แท้ๆ (นอกจากเรื่องที่ต้องชาร์จไฟแล้วตัวดินสอของ apple เองยังสามารถรับรู้แรงกดได้เยอะมากทีเดียว สังเกตุได้จากทีเซอร์เปิดตัวนั่นเอง สามารถเขียนเส้นหนัก เบาได้อย่างกับใช้ปากกา หรือพู่กันนั้นๆ จริงๆ เลยแถมการตอบสนองยังรวดเร็วแม่นยำ แทบจะไม่มีอาการหน่วงขณะเขียนเลยทีเดียว และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือทาง apple ออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง iPad Pro ออกมาซึ่งมันมีขนาดจอที่ใหญ่กว่า iPad ในขนาดปกติพอสมควร การนำปากกาเข้ามาก็ถือว่าเป็นตัวเลือกหนึ่งที่จะทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นนั่นเอง...)

Smart Keyboard (เหมือน Microsoft Surface เลย)
      ต่อจาก Apple Pencil ก็จะมีเรื่องของ Smart Keyboard กันต่อ ซึ่งหน้าตานั้นถ้าดูดี ๆ มันจะเหมือนกับ Microsoft Surface 3 Pro ของ Microsoft ประมาณว่า ฉันใหญ่แล้วฉันต้องมี Keyboard แยกร่างออกมาบ้าง นี่เหรอที่เรียกว่าของใหม่ แต่ประโยชน์มันก็มีที่ สามารถพิมพ์ข้อความได้สะดวกขึ้น ว่าแต่ ทำไมไม่มีให้เลือกตั้งนานแล้วล่ะ (เนื่องจาก Concept ของ iPad ตามความตั้งใจเดิมของท่านศาสดาเค้าว่าไว้ iPad คือสิ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้กับผู้ใช้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์เสริมอะไรเยอะแยะ พกพาไม่สะดวก แต่ในปัจจุบันนี้อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปแล้วล่ะเนอะ...)
Spilt View (มันคือ Multi Tasking ของ Android นี่แหล่ะ)
      การใช้งาน 2 หน้าจอพร้อมกัน ที่เริ่มใช้ได้ใน iPad Air 2 และ iPad Pro เป็นครั้งแรก ทำให้ iOS ก้าวข้ามการใช้งาน 1 Apps ไปได้อย่างมากและเพิ่มความสะดวกสบาย นั่นคือคำพูดของคนที่เป็นสาวก แต่ทั่วไป Android ทำได้มานานแล้ว และหน้าจอสลับ Screen Android ก็ทำได้มานานเช่นเดียวกัน (อันนี้แหละเป็นสิ่งที่สาวกบ่นอยากได้มานานแล้ว หลังจากที่เห็นฝั่งหุ่นกระป๋องทำได้ ทีนี้ก็จะไม่ต้องสลับ App ไปมาระหว่างการใช้งานอีกต่อไปแล้ว ในตอนงานเปิดตัวนะ ผมตะโกนดังๆ เลยว่า "ในที่สุด iOS มันก็ทำได้สักทีเว้ยเฮ้ยยย!!")
Hey Siri
      เป็นคำสั่งที่สามารถเรียกใช้งาน Siri ได้ทันที ถูกติดตั้งใน iOS 9 เป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับเทคโนโลยีเรียกคำสั่งจาก Google Now เพียงแค่พูดว่า OK Google มันก็จะทำงานตามคำสั่งเสียงของเราแล้ว สรุปว่านี่จะบอกว่า Siri ก็ทำได้แล้วสินะ (ก่อนที่ iOS 9 จะมามันก็ทำได้อยู่นะ แต่ต้องเข้าไปตั้งค่าแล้วก็จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเสียสายชาร์จอยู่เท่านั้น พูดว่า "หวัดดี สิริ" มันก็เข้าเมนูรับคำสั่งเสียงได้เลย...แต่ที่ apple เอามาชูเป็นจุดเด่นใน iOS 9 อาจะเป็นเพราะว่าเค้าดูถึงความสะดวกในการเรียกใช้งานมากว่านะครับ ^^)
กล้องที่หลัง 12 ล้านพิกเซล/หน้า 5 ล้านพิกเซล + ถ่ายวีดีโอ 4K
      กล้องของ iPhone 6s นั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่ความละเอียดมากขึ้น โดยกล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล, กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล และกล้องหลังสามารถถ่ายวีดีโอระดับ 4K ได้ แถมมี OIS ในตัว เรียกเสียงกรี้ดลั่นจากสาวกได้มากมายในงานพอสมควร แต่ช้าก่อนครับมาดูคู่แข่งอย่าง Galaxy Note 5 ที่ให้กล้อง 16 ล้านพิกเซล พร้อมระบบกันสั่น และรองรับการถ่ายวีดีโอ 4K หรือจะเป็น LG G4 ก็ทำได้มาตั้งแต่ช่วงมิถุนายนที่ผ่านมาแล้ว เอิ่ม พูดไม่ออกเลยอะดิ (นับเป็นพระคุณอย่างยิ่งที่ทาง apple ยอมปรับทิศนคติเกี่ยวกับกล้องของไอโฟน เพราะเดี๋ยวนี้ทางฝั่งแอนดรอยด์เค้ามาเน้นเรื่องกล้องได้แจ่มมากมายจริงๆ โดยเฉพาะซัมซุง แอลจี หัวเหว่ย ออปโป้ เป็นต้น)
iPhone 6s กับบอดี้ อะลุมิเนียมเกรด 7,000
      "เรื่องการหักงอของ iPhone 6s จะเกิดขึ้นน้อยลงเพราะเราใช้บอดี้ที่แข็งแรงเกรดอะลุมิเนียม 7,000 ที่แข็งแรงขึ้นน้ำหนักเบาลงแต่ยอมหนาสักหน่อยนะ" ครับใช่มันแข็งแรงจริง แต่หารู้ไม่ ที่ Samsung ชิงตัดหน้าเปิดตัว Galaxy Note 5 และ Galaxy S6 edge + ก็เพราะว่า เขาใช้ชิ้นส่วนแบบเดียวกันนี่แหล่ะ เพราะคงกลัวเครื่องหักเหมือนกันล่ะนะ (เป็นเพราะทาง Apple ต้องการปรับขนาดของ iPhone ให้เล็กลงมากเกินไปจึงอาจจะลืมเรื่องของความแข็งแรงของตัวเครื่อง จึงเป็นปัญหาอย่างที่รู้กันใน iPhone 6 แต่ใน iPhone 6s ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนวัสดุใหม่แข็งแรงกว่าเดิม ส่งผลให้ตัวเครื่องหนากว่าเดิม และหนักกว่าเดิมนิดหน่อย ซึ่งผมว่ามันก็ไม่ได้กระทบอะไรกับการใช้งานเลยนะ เพราะว่ามันแทบจะไม่รู้สึกเลยว่ามันเพิ่มขึ้นมา)
Live Wallpaper + Live Photos
      การถ่ายภาพเคลื่อนไหวนั้นทำได้สนุกและเต็มที่กว่าเดิมด้วยการกดค้างที่หน้าจอสามารถบันทึกวีดีโอสั้นได้และนำไปแสดงผลกับอุปกรณ์ Apple ได้ เทคโนโลยีนี้เหมือนกับ HTC Zoe และอีกสิ่งคือ Wallpaper ที่ขยับได้นั้น Android มีมาให้ตั้งแต่ Android 4.0 แล้วนะครับ (อันนี้ค่อนข้างเห็นด้วยครับว่าในแอนดรอยด์มีให้ใช้งานก่อนหน้านี้แล้วจริงๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่จะต้องมีการก้าวหน้าเป็นธรรมดา ส่วนเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งานคงจะต้องลองทดสอบด้วยตัวของท่านเองแล้วล่ะครับว่าของใครจะดีกว่ากัน แต่ถ้ามันแย่กว่าของทางฝั่งแอนดรอยด์ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ!!)

      ทั้งหมดที่ผมนำมาบอกกันในวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรนัก แต่คงไม่มีใครบอกให้คุณผู้อ่านได้รู้ เช่นเดียวกับผู้ผลิตบางรายที่ใส่เทคโนโลยีนี้มา แต่ไม่ได้บรรยายคุณสมบัติทำให้ Apple นำไปพัฒนาใหม่ แล้วเอามาเล่าจนทำให้เกิดความสนใจนั่นเอง แสดงให้ถึงพลังการ Present ของ Apple ที่พิชิตใจคนได้มากอยู่จนทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขาขายดีจนถึงตอนนี้นั่นเอง

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

คาใจไหม iPad Pro สามารถทำงานแทน Notebook ได้จริงหรือ? [สกู๊ปพิเศษ]

      ตอนนี้ต้องยอมรับว่ากระแสการมาของ Tablet ตัวใหญ่อย่าง  นั้นมาแรงมากมาย จนทำให้หลายคนอยากได้ได้มาแทน Notebook ของตัวเอง
      ซึ่งก็มีคำถามมากมายที่มาถามผมว่า แล้วมันแทนได้จริงหรือ ความสามารถเพียงพอไหม และเรื่องอื่นที่ไม่อยากจะนับทั้งสิ้น เอาล่ะ มาถึงจุดนี้ เลยทำเป็นบทความเลยล่ะกันว่า มันทำได้จริงหรือเปล่า

iPad Pro คืออะไร

      ก่อนที่จะแทนที่ได้หรือไม่ เรามารู้จักกับ iPad Pro กันให้ดีกว่านี้ดีกว่า ความจริงแล้วมันก็คือ iPad ที่มีขนาดใหญ่ ใหญ่แค่ไหน จินตนาการง่ายๆ ถ้ามี iPad Air 2 ในเมืองแล้วต้องเอาอีกเครื่องมาต่อแล้วหั่นออกไปประมาณ 1 ใน 3 นั่นแหล่ะคือ iPad Pro น้ำหนักของมัน เทียบเท่ากับ iPad รุ่นแรก แต่ความบางกลับกลายเป็นบางกว่า iPad Air 2 ซะอีก ความเร็วก็มากกว่า เพราะใช้ CPU A9X และคาดว่า RAM 4GB เพราะตอบสนองความสะดวกสบายในการใช้งาน Multi Tasking ที่ตอบโจทย์ในการใช้งานได้ค่อนข้างดีและเจ่งมากมาย
      ซึ่งความเห็นส่วนตัว iPad Pro มีขนาดใหญ่พอกับ Microsoft Surface การพกพานั้นอาจจะทำได้ไม่สะดวกเมื่อเทียบกับ iPad Air2 หรือ iPad ทุกตัวที่เผยโฉมออกมาก่อนหน้านี้
      แต่คุณจะได้ประสิทธิภาพที่มากขึ้นนั่นเอง และยิ่งใช้คู่กับ Apple Pencil มันก็จะเขียนงานได้ดีกว่าที่คิดอีกด้วย อีกส่วนหนึ่ง ด้วยราคาที่เปิดตัวมา $799 และรุ่น 4G กว่าจะได้ต้องจ่าย $1,049 ผมว่าสำหรับคนไม่รีบและต้องการความพอดี ไปซื้อ Galaxy Tab A ก็น่าจะเพียงพอนะ แต่ยอมรับว่า เจ้านี่ประสิทธิภาพสูงจริง

แรงกว่า Notebook ทำให้เกิดประเด็นว่า มันจะแทน Notebook ได้จริงเหรอ

      ในส่วนนี้ขอยกตัวอย่างโปรแกรม ที่เห็นภาพที่สุดอย่าง Microsoft Office ที่พัฒนาขึ้นใหม่ สำหรับ iOS9 โดยการทำงานนั้นสามารถรองรับการทำงานแบบ 2 หน้าจอ สลับไปมานั้นทำได้ง่ายขึ้นและลากวางได้เช่นเดียวกับ Android แต่มันต้องขึ้นกับ Apps ว่ารองรับหรือไม่อีกด้วย
      ผมว่ามันดีตรงที่สำหรับคนที่ต้องทำงานทั้ง Word หรือ Excel พร้อมกัน เช่นคุณต้องพิมพ์รายงานและแก้ไขเลขบัญชีในเวลาเดียวกัน ส่วนนี้ มันตอบโจทย์มาก ความเป็นจริง Windows มันก็ทำได้ตั้งนานแล้ว ไม่เชื่อลองเปิด Surface Pro 3 หรือ Surface 3 สิครับ คำตอบจะเห็นภาพชัดเจน แน่นอนว่า จุดเด่นที่ทำให้คุณใช้ iOS9 น่าทำงานกว่าคือ คุณสามารถเล่นเกมใน Tablet ได้มากกว่า Windows ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน จึงเป็นข้อสรุปว่า มันแทน Notebook ได้
      แต่ผมเองกลับมองว่ายังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องซื้อมาใช้ ถ้าคิดถึง Surface 3 ที่มีราคาถูกกว่า ต่อให้ต้องซื้อปากกาหรือ Keyboard รวมกันก็เกือบแตะ 3 หมื่นบาท และพ่วง Aircard อีกตัว ราคาก็ไม่ถึง 5 หมื่นอย่างที่ iPad Pro เป็นอยู่นั่นเอง

ความคุ้มค่า มันจริงเหรอ

      ขอไม่ฟันธงสำหรับใครเพราะแต่ละคนเงินก็ไม่เท่ากัน แต่ผมเอาหลักมาคิดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณต้องการ iPad Pro Full Option ที่สุดคุณต้องซื้อรุ่น 128GB ที่มี 4G ในตัว ที่ราคา $1,049 พ่วงกับ Smart Keyboard ราคา $169 และ Apple Pencil $99 รวมทั้งหมดก็ประมาณเกือบแตะ $2000 แล้ว คำถามมีอยู่ว่า เยอะขนาดนี้ตัวเลือกอื่นมันจะคุ้มกว่าไหม แต่ถ้าคุณต้องการ Mobile Office ที่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้แล้วล่ะก็ นี่มันก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าใช้อยู่ เพราะว่าผมเชื่อว่าการที่ Windows 10 อยู่บน Tablet อาจจะยังไม่ตอบโจทย์กับหลายคน ส่วน iOS 9 ก็อาจจะยังทำงานไม่เต็มที่สำหรับหลาย ๆ คนเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับความสมดุลว่าคุณยอมรับกับฝั่งไหนมากกว่ากัน คำตอบก็จะออกมาเองนั่นแหล่ครับ เชื่อผมสิ
      แต่ถ้าผมเองเห็นว่า ไม่คุ้ม ผมจะซื้อ iPad Air2 แล้วอัพเป็น iOS9 และรอดูว่า Apple Pencil จะใช้งานบนหน้าจอ iPad Air2 หรือไม่ ถ้าไม่รองรับ อุปกรณ์ 3rd party มันก็ถูกและใช้ได้มากกว่าล่ะครับ
      แม้ว่าบทความนี้จะตอบคำถามของคุณหมดในเรื่องว่ามันแทน Notebook ได้หรือไม่ แต่ความคุ้มค่าและจะเลือกซื้อนั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณผู้อ่านเองครับ