ติดตามข่าวสารอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ thaizones.net นะครับ.. ^0^. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

คาด iPhone 6s และ 6s Plus ราคาแพงกว่าเดิม 2,000 บาททุกรุ่น

คาด iPhone 6s และ 6s Plus ราคาแพงกว่าเดิม 2,000 บาททุกรุ่น !!! พร้อมขายในไทยช่วงสิ้นเดือนนี้
เปิดตัวและ พร้อมขายกันไปซักพักแล้วสำหรับ iPhone 6s และ 6s Plus ในต่างประเทศ ซึ่งในประเทศไทยตอนนี้ก็มีพ่อค้าหลายรายหิ้วเข้ามาขายเพื่อทำกำไรเช่นกัน ซึ่งล่าสุดก็ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่าตัวแทนจำหน่ายของ Apple ในไทย จะเอา iPhone 6s และ 6s Plus มาขายจริงๆ เมื่อไหร่กัน
iphone-6s-rose-gold-concept
แต่ข้อมูลจากทางเว็บไซต์ CookieCoffee ได้ ให้รายละเอียดแล้วว่าได้ข่าววงในมา ว่าในไทยจะมีการขาย iPhone 6s และ 6s Plus อย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยมีราคาแพงเพิ่มขึ้นมาอีก 2,000 บาท จากการที่อัตราค่าเงินบาทไทยของเรานั้นอ่อนตัวลงช่วงนี้ ส่งผลให้ iPhone 6s และ 6s Plus ทุกรุ่นได้มีการปรับราคาขึ้นกันทั่วหน้า ซึ่งสมมุติถ้าเพิ่ม 2,000 บาท iPhone 6s และ 6s Plus จะมีราคาดังนี้
iPhone 6s
  • 16GB – เดิม 24,900 บาท เพิ่มเป็น 26,900 บาท
  • 64GB – เดิม 28,900 บาท เพิ่มเป็น 30,900 บาท
  • 128GB –  เดิม 32,900 บาท เพิ่มเป็น 34,900 บาท
iPhone 6s Plus
  • 16GB – เดิม 28,900 บาท เพิ่มเป็น 30,900 บาท
  • 64GB – เดิม 32,900 บาท เพิ่มเป็น 34,900 บาท
  • 128GB –  เดิม 36,900 บาท เพิ่มเป็น 38,900 บาท
เรียกได้ว่าการที่ iPhone 6s และ 6s Plus มีราคาเพิ่มขึ้นคงมีผลไม่น้อยสำหรับใครหลายๆ คนที่จะซื้อทีเดียว เพราะราคาเริ่มต้นก็จะปาเข้าไปที่สองหมื่นบาทกลางๆ  สำหรับ iPhone 6s ส่วน iPhone 6s Plus ราคาเริ่มต้นก็จะไปที่สามหมื่นบาทเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะอีกหลายๆ ที่ขาย iPhone 6s และ 6s Plus ก็ราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เปรียบเทียบภาพถ่าย ระหว่าง iPhone 6 และ iPhone 6S ทั้งกล้องหน้าและหลัง ต่างกันมากน้อยแค่ไหน

อย่างที่ทุกท่านทราบกันเป็นอย่างดีว่า iPhone 6S นี้ ถูกอัปเกรดให้ดีขึ้นจาก  ในหลายๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของความแข็งแรง ทนทาน, การประมวลผล รวมไปถึง กล้องถ่ายรูปทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
ซึ่งในวันนี้ ทีมงานจะมาทดสอบใช้งานกล้องถ่ายรูปกัน
โดย iPhone 6S มาพร้อมกับกล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ซึ่งอัปเกรดจาก 1.2 ล้านพิกเซลบน iPhone 6 นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับไฟแฟลชแบบ Retina Flash ที่กล้องด้านหน้าอีกด้วย พร้อมเพิ่มฟังก์ชัน Live Photo (ไอคอนสีเหลือง) ภาพแบบเคลื่อนไหวพร้อมเสียง โดยสามารถดูภาพเหล่านี้ได้ ด้วยการกดลงไปที่รูปภาพนั้นๆ ส่วนกล้องด้านหลัง มาพร้อมกับความละเอียด 12 ล้านพิกเซล อัปเกรดจาก 8 ล้านพิกเซล พร้อมโหมดการถ่ายภาพ 6 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Time-Lapse, Slo-Mo, Video, Photo, Square และ Pano
ทดสอบการใช้งานกล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
ภาพจากกล้องด้านหน้าบน iPhone 6S (ซ้าย) vs iPhone 6 (ขวา)
มาเริ่มทดสอบการถ่ายภาพด้วยกล้องด้านหน้ากันก่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ภาพจาก iPhone 6S นั้น นอกจากจะมีความคมชัดมากกว่าแล้ว ยังให้สีสันที่สวยสดกว่าด้วย
ภาพจากกล้องด้านหน้าบน iPhone 6S (ซ้าย) vs iPhone 6 (ขวา)
มาลองถ่ายภาพกลางแจ้งกันบ้าง จะเห็นได้ว่า ภาพจากกล้องด้านหน้าของ iPhone 6S ยังให้สีสันที่สวยกว่าเหมือนเช่นเคย แต่คนที่ชอบถ่ายภาพแนวฟรุ้งฟริ้ง อาจจะไม่ถูกใจนัก เพราะตัวแอปฯ กล้องบน iPhone 6S ไม่สามารถปรับความเนียนของใบหน้าได้ ยกเว้น ปรับความสว่าง หรือใส่ฟิลเตอร์เท่านั้น
ทดสอบการใช้งานกล้องด้านหลัง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
ภาพจากกล้องด้านหลังบน iPhone 6S (ซ้าย) vs iPhone 6 (ขวา)
ภาพจากกล้องด้านหลังบน iPhone 6S (ซ้าย) vs iPhone 6 (ขวา)
ภาพจากกล้องด้านหลังบน iPhone 6S (ซ้าย) vs iPhone 6 (ขวา)
สำหรับกล้องด้านหลัง ได้ปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น จากเดิม 8 ล้านพิกเซล เป็น 12 ล้านพิกเซล พร้อมกับปรับเซ็นเซอร์ใหม่, โปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพใหม่ ทำให้ได้ภาพถ่ายที่สวยขึ้นกว่าเดิมครับ
ทดสอบการถ่ายภาพตอนกลางคืน
ภาพจากกล้องด้านหลังบน iPhone 6S (ซ้าย) vs iPhone 6 (ขวา)
ภาพจากกล้องด้านหลังบน iPhone 6S (ซ้าย) vs iPhone 6 (ขวา)
ภาพจากกล้องด้านหลังบน iPhone 6S (ซ้าย) vs iPhone 6 (ขวา)
ภาพจากกล้องด้านหลังบน iPhone 6S (ซ้าย) vs iPhone 6 (ขวา)
สำหรับการรีวิวในครั้งนี้ เป็นการทดสอบการใช้งานกล้องถ่ายรูปแบบทั่วๆ ไปกันก่อน ซึ่งในครั้งหน้า ทีมงานจะเจาะลึกฟีเจอร์ในนั้น ต้องติดตามกันให้ดีครับ
บทความโดย : techmoblog.com

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ลองอัพกันหรือยัง iOS 9.0.2 มาแล้วนะ ครั้งนี้แก้อีกหลายเรื่องที่เกิดใน iOS 9 เลย!!

    หลังจากที่ Apple ปล่อย iOS9.0.1 ให้ได้โหลดกันสักพัก อาจจะแก้ไขปัญหาไปได้บางส่วนแต่ความจริงนั้นปัญหาบางอย่างยังไม่ถูกแก้ ล่าสุด Apple ออก  ให้ผู้ใช้ iDevice ประกอบด้วย iPhone, iPad และ iPod Touch ให้ได้โหลดกันแล้ว
หลัก ๆ ที่มีการแก้ปัญหาใน iOS 9.0.2 นั้นมีดังต่อไปนี้
- ปรับปรุงเรื่องการเปิดปิดการใช้งานข้อมูล Cellular (3G/4G)
- ปรับปรุงปัญหา iMessage ที่บางคนเปิดไม่ได้
- ปรับปรุงเรื่องของ iCloud Backup ที่เวลาเริ่ม Backup จะมีการถูกขัดจังหวะ
- ปัญหาของเครื่องที่หมุนหน้าจอไม่ถูกต้อง
- แก้ปัญหาของ Podcasts ที่ไม่เสถียรเวลาใช้งาน
   ผู้ใช้ iDevice ทั้งหลายสามารถเข้าไปอัพเกรดได้ที่ Setting > General > Software Update และอย่าลืมต่อ WiFi นะครับ
   หากเพื่อนๆคนไหนอัพเกรดกันไปแล้วอย่าลืมมาแชร์กันนะครับว่าจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นอย่างไร อย่างใน iPhone 4s ก็สามารถลองอัพได้เหมือนกันนะฮะ ไม่จำเป็นต้องเป็น iPhone 5 ขึ้นไปจนถึง iPhone 6s อย่างเดียว

ที่มา: http://hitech.sanook.com/1399571/

รีวิว iPhone 6S Plus แล้วคุณจะเห็นมุมต่าง ที่ชัดเจน (เวอร์ชั่นคนไทยรายแรกๆ ของประเทศ)

       เป็นประจำของทุกปีที่ช่วงเดืองนี้ที่หลายๆประเทศได้วางจำหน่าย iPhone รุ่นใหม่ซึ่งปีนี้ Apple ได้ปล่อย  และ iPhone 6S Plus มาด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นเหมือนปีก่อน แต่ปีนี้ที่พิเศษกว่าคือ Apple ได้ปล่อย iPhone สีใหม่ออกมาคือสี Rose Gold ออกมาด้วย ซึ่งเป็นตามธรรมเนียมว่าปีหน้าเราอาจจะได้เห็น iPad Mini และ iPad Air รุ่นใหม่สีนี้เช่นกัน

       วันนี้ผมจะนำทุกคนมาดู Review iPhone6S Plus และ ทำความรู้จักกับระบบใหม่ๆที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone6S ที่มาพร้อม iOS9 กันครับ ว่าจะเป็นยังไง และ ตอบโจทย์การทำงานกับกลุ่มใดมากที่สุด โดยที่ครั้งนี้ผมหยิบ iPhone6S Plus Rose Gold มาใช้ในการ Review เพราะตัว Hard Ware และ สเป็คทุกอย่างไม่ต่างจาก iPhone6S ครับ

          อุปกรณ์ที่ทาง Apple แถมมาในกล่องก็ยังเหมือนเดิมครับ ไม่มีอะไรเพิ่มเข้ามาเพราะ Dock จะต้องซื้อเพิ่มเองครับ ในกล่องจะประกอบด้วยสายชาร์ต USB Lighting 1 เส้น หูฟัง Ear Pod 1 กล่อง ปลั้กแบบ 3 ขา 1 ชิ้น คู่มือ และ ซองบรรจุคู่มือการใช้งาน 


          ฟิลม์กันรอย Case หรือ อุปกรณ์เสริมของ iPhone6 ทุกชนิดยังใช้งานได้บน iPhone6S ทุกอย่างครับ ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และ Case รุ่นต่างๆ ยังตำแหน่งเดิม และ ขนาดทั้งหมดเท่าเดิมอยู่ครับ สามารถใช้ได้ด้วยกัน 

       iPhone6S , iPhone6S Plus Space Display Size : iPhone6S 4.7" iPhone6S Plus 5.5"

       ความละเอียด 6S : 1920 x 1080 401 PPI 1300:1 contrast ratio Full sRGB standard ความละเอียด 6S Plus : 1334 x 750 326 PPI 1400:1 contrast ratio Full sRGB standard


CPU : Apple A9 แบบ 64Bit Ram : 2GB GPU : M9 


       Camera Back : 12MP พร้อม iSight 1.22µ ช่องรับแสง ƒ/2.2 รองรับการถ่าย VDO แบบ 4K ป้องกันการสั่นไหวของภาพเวลาถ่าย พร้อมแฟลชแบบทูโทน Panorama สูงสุด 63MP พร้อมทั้งรองรับการจัดแสง และ สีบนภาพดีกว่ารุ่นก่อน รองรับการถ่าย VDO Slo-mo Mode ที่ความละเอียด 1080P 120FPS และ 720P 240FPS


       Camera Front : 5MP ช่องรับแสง ƒ/2.2 aperture มี Retina Flash บันทึก VDO ความละเอียดแบบ 720P ใช้ Facetime Camera ได้


       Battery : iPhone6S 1,715mAh ใช้งานต่อเนื่อง 10 ช.ม. เล่น 3G 10 ช.ม. WIFI 11 ช.ม.ต่อเนื่อง Battery : iPhone6S Plus 2,750mAh ใช้งานต่อเนื่อง 24ช.ม. เล่น 3G 12ช.ม. WIFI 12 ช.ม.ต่อเนื่อง


       Network : GSM/EDGE , UMTS/HSPA+ , DC-HSDPA , CDMA EV-DO Rev. A Touch Screen : 3D Touch (Force Touch) Touch ID : ระบบใหม่ที่ให้ความเร็วมากกว่ารุ่นเก่า WIFI : 802.11a/b/g/n/ac Wi‑Fi with MIMO LTE : LTE Advanced Bluetooth : 4.2 VoLTE : Yes NFC : Yes Sim : Nano-simcard 
แรกสัมผัส[Hand On]


       เป็นครั้งแรกของชีวิตเลยดีกว่าที่ผมมาใช้ Smart-Phone สีหวานขนาดนี้เพราะว่าเมื่อก่อนใช้แต่สีขาว สีดำแล้วก็มายุคสีทอง ครั้งแรกที่ได้เห็นตัวเป็นๆ
       ยอมรับครับว่าเป็น iPhone ที่ถูกใจเรื่องสีมากที่สุดเพราะ Apple มักจะทำสีที่คาดไม่ถึง และทำออกมาสวยงามก่อนค่ายใดๆเสมอ (2ปีก่อนสีทอง) ซึ่งสีนี้เป็นทีเด็ดมาก ถูกใจสาวๆแน่นอน ประกอบกับวัสดุเกรด Aluminum7000
       ทำให้่เป็น iPhone ที่มีความแข็งแรงกว่ารุ่นก่อนมาก จะมาง้อง่ายๆแบบเดิมคงไม่มีแล้วครับ และ วัสดุชนิดนี้ให้ผิวที่จับถนัดมือ ไม่มีส่วนเงาใดๆหลังเครื่องเป็นแต่ด้านๆ แบบ Mac เวลาใช้งานมือเดียวจะคล่อง


       หน้าตาของ iOS9 หลายๆคนคงเคยใช้งานไปก่อนหน้านี้แล้วดังนั้นส่วนนี้ผมจะไม่ขอพูดถึง จะไปโฟกัสรวมๆุถึงสิ่งที่เข้ามาเพิ่มทำให้มีความน่าสนใจของ iPhone6S กันดีกว่าครับ
มีอะไรที่ใหม่ใน iPhone6S , iPhone6S Plus
       หน้าจอที่รองรับแบบ 3D Touch การทำงานของมันต่างไปจากของเดิมๆในรุ่นก่อนๆโดยสิ้นเชิงคุณสามารถเข้าถึง หรือ เลือกการเข้าถึงภายในฟังชั่นต่างๆของ App ที่เราใช้งานได้ด้วยการออกแรงกดของหน้าจอเมื่อเราสัมผัสลงไปได้นั้นเอง เพียงแค่กดเบาๆจะเป็นการเข้า App
       โดยปกติทั่วไป แต่ถ้าออกแรงกดในอีก 1 ระดับจะเป็นการเลือกทางลัดต่างๆใน App นั้นๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นจากระบบหน้าจอแบบ 3D Touch ครับ และยังมี Topic Engine สำหรับเตือนเวลาเราทำการกด 3D Touch หรือกดแรงไปมันจะสั่นเตือนเราทันที 
       Touch ID แบบใหม่ที่มาบน iPhone6S นั้นมีการออกแบบ Sensor ตัวใหม่ของ Apple ที่ทำให้การบันทึกค่า และ การตรวจจับนั้นทำได้รวดเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้นถึง 2 เท่า ดังนั้นผู้ใช้ก่อนหน้านี้อาจจะเคยเจอปัญหาที่ว่าเวลาสแกนนิ้วมือแล้วอาจจะเพี้ยนต้องสแกนใหม่บ่อยๆ ปัญหานี้จะลดลงไปได้ครับ
       วัสดุเกรด Aluminum 7000 ถ้าหากไม่เข้าใจความแข็งแรงของมันให้มองไปที่ยานอวกาศครับ ความแข็งแรงที่ทาง Apple แจ้งไว้เกรดเดียวกับวิศวกรรมด้านยานอวกาศครับ ทาง Apple บอกว่าวัสดุชิ้นนี้จะทำให้ iPhone6S นั้นไม่หักงอง่ายเหมือนแต่ก่อนแล้ว และมีน้ำหนักที่เบา
       4K VDO และ Live Photo ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่บน iPhone6S ซึ่ง 4K VDO จะเป็นการบันทึกความละเอียดของ VDO ที่ 3840 x 2160 ที่เราเรียกกันคุ้นหูว่า 4K และ Live Photo ก็จะช่วยให้เราเวลาถ่ายภาพนิ่งนั้น จะมีเสียงและการเคลื่อนไหวภายในภาพช่วงระยะเวลาสั่นๆด้วย
       กล้องทั้งหน้า และ หลังถูกอัพเกรดใหม่หมด กล้องหลังมาพร้อมความละเอียด 12 Mega Pixel พร้อมการประมวลผลภาพด้วย iSight 1.22µ ประกอบกับมีการประมวลผลร่วมจาก Software ตรงที่ช่วยปรับพื้นที่ของสีภายในภาพให้ความสว่าง และ สมจริง ส่วนกล้องหน้าถูกจัดมาใหม่เป็นแบบ 5 Mega Pixel พร้อมใช้ LED Flash ซึ่งเป็นการใช้จอภาพเป็น Flash สำหรับถ่ายภาพ จะให้ภาพที่ค่อนข้างนวลเวลาถ่ายใบหน้าของเราเอง
       CPU A9 และ GPU M9 มาพร้อม Ram ให้ใช้ 2GB ถ้วนมีการอัพเกรดจากของเดิมไปมาก เพราะสเป็คนี้ความเร็วนั้นสูงกว่า iPhone6 ถึง 70% รองรับการใช้งาน 3D หรือ App ที่เป็น 3D แบบเต็มรูปแบบเพราะการประมวลผลที่เร็วและสมบูรณ์กว่ารุ่นเดิมถึง 90%
ใช้งานจริง iPhone6S 

       สิ่งที่ผมกำลังนำเสนอต่อไปนี้ ผมจะเขียนจากสิ่งที่ผมใช้งานหลักในชีวิตประจำวัน และ การใช้งานรองลงไปในส่วนของ App ต่างๆรวมถึง Game และ กล้อง โดยที่ส่วนใหญ่ๆจะเป็นการใช้งานผ่าน 3G นะครับถ้าติดตรงไหนเพิ่มเติมรบกวนส่งมาไว้ที่คอมเม้นท์ได้เลยครับ

       หน้าตา iOS9 ใน iPhone6S ไม่ได้แตกต่างอะไรจาก iPhone6 ครับยังเหมือนเดิมทุกๆอย่าง ยกเว้น 3D Touch ครับ และ การใช้งานส่วนใหญ่ๆของ 3D Touch ก็ไม่ต่างอะไรจากการกด Shotcut บน App ที่เรากำลังจะใช้นั้นเอง

       ส่วนตัวแล้วชอบคีย์บอร์ทของ Apple มากกว่าเพราะการจัดเรียง หรือ การวางปุ่มต่างๆค่อนข้างจะมีระเบียน และ มองง่าย หรือ เป็นเพราะว่า Apple มีแค่แพทเทิ้ลเดียวมั้งเลยทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปปรับแต่ง หรือ ติดตั้งอะไรเพิ่ม เพียงแค่เลือกภาษา หรือ ใช้ Emoji เท่านั้น

       การฟังเพลงผ่าน Music ก็ยังคงรูปแบบเดิมไม่ว่าจะฟังผ่าน Apple Music หรือ เราจะ Sync ลงไปเองผ่าน iTune ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย คุณภาพเสียงปรับแต่งเหมือนเดิมผ่าน EQ ใน Setting เหมือนเดิม ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ส่วนคุณภาพเสียงไม่แตกต่างอะไรจากรุ่นก่อนๆครับ 


       การเล่นเกมส์ไม่ว่าจะ 3D หรือ 2D ทุกอย่างเล่นได้ราบรื่นมาก เพราะ CPU ใหม่และ Ram ที่ให้มากกว่าเดิมเป็น 2GB แน่นอนว่าจะเกมส์ที่ใช้พลังงานการประมวลผลสูงๆทั้ง CPU , GPU ก็รันได้สบายครับลื่นและไหลมาก ไม่มีสะดุด 


       คุณภาพกล้องใหม่ที่ทำออกมานั้นอยู่ในระดับที่ชัดเจน ไม่มี Noise ในภาพเวลากลางวัน แต่กลางคืนนั้น Noise กระจาย 55+ เพราะว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้วครับที่จะเอา iPhone มาถ่ายรูปกลางคืนออกมาจะไม่ชัด ตรงนั้นตัดออกไปก่อน เอากลางวันถ่ายรูป
       อย่างที่ผมกล่าวไปเพราะกล้องใหม่ 12MP แถมยังมีการพัฒนา iSight อย่างที่บอกไปว่าการจับภาพ และการจัดแสงสีต่างๆ iSight ทำหน้าที่ออกมาได้สมบูรณ์ครบทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นการไล่โทรสี หรือ การจัดแสงและสีต่างๆ ดีกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด พร้อมทั้งความเร็วของกล้องที่เพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้เรากดถ่ายได้แบบไม่ต้องรอดีเลย์แต่อย่างใด  

สรุป iPhone6S , iPhone6S Plus 


       ถ้าพูดตามตรงแบบที่ผมเคยบอกกล่าวๆไปเมื่อสักกลางปีว่า Apple เป็นค่ายเดียวที่ไม่แข่งขันกับใครในด้านสเป็ค ไม่ว่าจะส่วนใดๆก็ตามแต่ ทุกส่วน Apple ตามหลัง Android อยู่ ในระดับที่เรียกว่าหลายขุมเลยทีเดียว แต่สิ่งเดียวที่ Apple เอาชนะใจสาวกทั่วโลกได้ทุกครั้งที่เปิดตัวรุ่นใหม่ๆ จะเป็นที่ระบบ iOS นั้นเองที่ชนะใจคนทั่วโลกได้สบายเพราะเป็นระบบปิดที่ทำออกมาสมบูรณ์แบบในทุกๆด้านของการทำงาน

       สิ่งแรกที่ผมอยากจะบอกผมคาดหวังกับกล้องใหม่ของ iPhone 6S ไว้มากว่าในเมื่อมันมาใหม่แบบ 12MP นี้มันจะต้องชัดกว่าเดิมแน่นอน แต่ผิดคาดครับ มันไม่ได้ชัดกว่าเดิมซะทีเดียว มันก็ชัดขึ้นมาจิดเดียว
       ด้วยอารมณ์ทางความรู้สึกที่ดูด้วยตาล้วนๆเลย ไม่ได้ต่างอะไรจาก iPhone 6 เลยดีกว่า แต่เรื่องของการจัดองค์ประกอบของสีที่ผมทำ VDO ให้ดูไปนับว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะ Apple ไม่ค่อนจะเน้นสเป็คแบบที่บอกไป
       แต่เน้นที่ใช้ยังไงให้คุ้มที่สุดมากกว่า ส่วนไอ้เรื่อง VDO 4K ที่ทำมาทั้งทีก็ยัดมา 30FPS คือแบบมันไม่ได้ต่างอะไรกับ 1080P เลยดีกว่า เพราะการรันภาพต่อ 1 เฟรมมันไม่ได้ช่วยให้ดูลื่นหรือไหลขึ้นเลย ถ้าดูใน iPhone ที่ถ่ายโอเคนะมันลื่นมันดูดี แต่ถ้าเอาไปดูกับ TV บอกเลยยังห่างกับพวก Sony , Note5 มาก

       แต่สิ่งที่ผมชอบในตัวนี้คือ ผมชอบวัสดุที่เพิ่มเข้ามาใหม่เป็น Aluminum 7000 เกรดนี้แหละครับที่ชอบมาก เพราะความแข็งแกร่งและทนของมันนี้แหละ ทำให้เครื่องมันไม่บิดงอ หรือ หักได้ง่ายๆแบบคราวที่แล้วแน่นอน แต่ยังไงก็ยังเจอปัญหาเวลานั้งทับแล้วจอแตกอยู่ดี และมีน้ำหนักที่หนักขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แต่จับๆถือๆดูจะรู้สึกได้ทันทีครับ
พูดตรงๆละนะแบบVDO HD ชัดเจน

แบบอ่านชัดเจน
       คือแบบไอ้เรื่องกั้กสเป็คนี้เข้าใจอยู่ เพราะว่า iOS ไม่ต้องการสเป็คที่แรงโอเวอร์แบบฝั้ง Android หรอกแต่ถ้าพูดตามตรง 1 ปีออก 1 รุ่น ทำไมไม่ทำอะไรให้มันแบบ ไม่เหมือนเดิมสักทีอะ คือแบบทำมาแบบว่า 1 ปีเปลี่ยนทั้งรูปแบบ รูปร่างสเป็ค
       กล้องก็ไหนๆทำมาใหม่แล้ว ไม่เห็นอะไรที่แตกต่างเลย แล้วยัดมาทำไม 12MP ถ้างั้นเอา 8MP แบบเดิมแต่เปลี่ยน iSight เป็นตัวนี้แทนได้มั้ยละ8MP ประหยัดพื้นที่ได้เยอะเลยเวลาถ่ายรูปเยอะๆ เพราะคุณภาพรูปแทบไม่ต่างกัน Noise ยังกระจ่ายเลย
       แถมด้วยว่าถ่ายกลางคืนหลายค่ายเขาทำกันออกมาเยอะแล้ว iPhone ยังไม่เห็นทำไรมาสู้เลย VDO 4K เอาเข้าจริงๆก็ถ่ายได้ดูชัดดูดีใน iPhone ที่ถ่ายนั้นแหละ พอเอามาลง Youtube หรือ ดูใน PC โหคุณภาพยังกับ 1080P เลยไม่ต่างอะไรเลยดีกว่า 
       ที่สำคัญ เรื่องความเร็ว ความแรงอันนี้ยอมรับว่าจริงเห็นผลทันตามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Multitask ที่สลับได้ไวมาก แถมไม่ต้องรอโหลดใน App ที่กลับเข้าไปใหม่อีกรอบด้วย ชอบตรงนี้มาก และ ที่ชอบมากอีกอันคือ 3D Touch ตรงนี้ออกแรงกด เพื่อเข้าทางลัดใน App ไม่ต้องไปเสียเวลากดใน App นั้นอีก แต่ก็ยังไม่รองรับทุก App ต้องรอการอัพเดทใหม่ในอนาคตอีกถึงจะได้ทุก App รวมๆนอกนั้นโอเคหมด ติดแค่เรื่องที่บ่นไปข้างบนเท่านั้น
       ถ้าถามความคุ้มค่า ถ้าจะเปลี่ยนจาก iPhone 6 ไป iPhone 6S ผมบอกตรงๆส่วนตัวถ้าชอบ Apple จริงเปลี่ยนได้เลยเพราะลูกเล่นโอเค และ อย่างอื่นดีขึ้นจริงๆ ถ้าหากไม่ได้ชอบจริงๆ หรือ ยัง
       ไม่สะดุดตาอะไรเท่าไร ก็อย่าเพิ่งเปลี่ยนรอ ไปรอปีหน้าที่ iPhone 7 ออกมาก็ยังไม่สาย เพราะน่าจะแก้ไขอะไรหรือเพิ่มอะไรมาเยอะกว่าตอนนี้แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้เหมือนเอา iPhone 6 มาเพิ่มฟังชั่นเท่านั้นเอง
คะแนนถ้าให้รวมๆ 8.5/10 คะแนนครับ โดยเหตุผลตามนี้
ความคุ้มค่า : 27400 บาท สำหรับ iPhone 6S Plus เอาไป 8/10 คะแนน
ฟังชั่นการทำงาน : สำหรับ iPhone 6S Plus เอาไป 8.5/10 คะแนน
กล้อง : สำหรับ iPhone 6S Plus 8/10 คะแนน เสียง : สำหรับ iPhone 6S Plus  8/10 คะแนน
วัสดุ : สำหรับ iPhone 6S Plus 9/10 คะแนน


       สำหรับคนที่คิดว่าจะกำลังจะหาซื้อ iPhone 6S  iPhone 6S Plus ผมมีข่าวข้างในรายงานมาอีกทีนึงว่า เดือน ตุลาคมช่วงกลางๆเดือนจะมีการเปิดจองผ่านหน้าเว็ปของ Apple และจะมีผู้ให้บริการเครือข่ายค่ายสีส้มรายใหญ่ของไทยเปิดให้จองพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน และ รับเครื่องล็อตแรกภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป
       แต่ถ้าหากจองไม่ทัน จะมีการเปิด Walk in เข้าไปซื้อที่ iStudio ช่วงเดือนพฤศจิกายน เป็นต้นไป ข่าวลื่อผมไม่ต้องเชื่อก็ได้ครับ แต่ไม่ค่อยจะมั่ว

เขียนโดย: Werapat Kumud

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

iPad mini 4 เปิดราคาในไทยอย่างเป็นทางการ เริ่มต้นที่ 13,400 บาท พร้อมวางจำหน่ายเร็วๆนี้

       หลังจาก Apple จัดงานเปิดตัวขึ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา (วันที่ 10 กันยายนตามเวลาในประเทศไทย) ก็มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่อัปเกรดประสิทธิภาพให้ผู้บริโภคฮือฮากันอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นสมาร์ท โฟนยอดนิยมอย่าง iPhone 6s และ iPhone 6s Plus หรือ iPad Pro แท็บเล็ตจอยักษ์ที่มาพร้อมกับ Apple Pencil และ RAM 4GB ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น
       แต่ว่ายังมีอีกหนึ่งแท็บเล็ตรุ่นเล็กอย่าง iPad mini 4 ที่เปิดตัวไปแบบเงียบๆ แต่กระแสตอบรับก็ค่อนข้างดีไม่ใช่น้อย โดยแท็บเล็ตรุ่นดังกล่าวปรับปรุงประสิทธิด้านการประมวลผล และการทำงานให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยมาพร้อมกับชิปประมวลผล 64-bit Apple A8 ความเร็วในการประมวลผล 1.5GHz และหน่วยความจำแรม (RAM) ที่เพิ่มขนาดขึ้นมาเป็น 2GB จากเดิมมีเพียงแค่ 1GB เท่านั้น

       ล่าสุดทางเว็บไซต์ Apple Thailand ก็ได้ประกาศราคาวางจำหน่าย iPad mini 4 รุ่น Wi-Fi ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีให้เลือก 3 สี คือ สีทอง, สีเงิน และสีเทาสเปซเกรย์ โดยมีราคาดังต่อไปนี้

-   ความจุ 16GB Wi-Fi ราคา 13,400 บาท
-  iPad mini 4 ความจุ 64GB Wi-Fi ราคา 16,900 บาท
-  iPad mini 4 ความจุ 128GB Wi-Fi ราคา 20,400 บาท
       ราคาของ iPad mini 4 ที่ประกาศออกมานี้เป็นราคาเดียวกันกับที่ใช้ในตอนเปิดตัว iPad mini 2 และiPad mini 3 รุ่น Wi-Fi และแน่นอนว่าเมื่อมีผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่เข้ามาวางจำหน่าย Apple ก็มักจะปรับราคาของผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าลดลง โดย iPad mini 2 และ iPad mini 3 ก็ได้ปรับราคาลงแล้ว ดังนี้

-  iPad mini 2 Wi-Fi 16GB  ปรับราคาลงเหลือ 9,900 บาท (ราคาเดิม 10,400 บาท) (ราคาเปิดตัว 13,400 บาท)
-  iPad mini 2 Wi-Fi 32GB  ปรับราคาลงเหลือ 11,700 บาท (ราคาเพิม 12,200 บาท) (ราคาเปิดตัว 16,900 บาท)

-  iPad mini 2 Wi-Fi+Cellular 16GB ปรับราคาลงเหลือ 14,400 บาท (ราคาเดิม 14,900 บาท)
-  iPad mini 2 Wi-Fi+Cellular 32GB ปรับราคาลงเหลือ 16,200 บาท (ราคาเดิม 16,700 บาท)

-  iPad mini 3 Wi-Fi 16GB ปรับราคาลงเหลือ 11,600 บาท (ราคาเดิม 13,400 บาท) (ราคาเปิดตัว 13,400 บาท)
-  iPad mini 3 Wi-Fi 64GB ปรับราคาลงเหลือ 14,400 บาท (ราคาเดิม 16,900 บาท) (ราคาเปิดตัว 16,900 บาท)
-  iPad mini 3 Wi-Fi 128GB ปรับราคาลงเหลือ 17,900 บาท (ราคาเดิม 20,400 บาท) (ราคาเปิดตัว 20,400 บาท)

-  iPad mini 3 Wi-Fi+Cellular 16GB ปรับราคาลงเหลือ 16,100 บาท (ราคาเดิม 17,900 บาท)
-  iPad mini 3 Wi-Fi+Cellular 64GB ปรับราคาลงเหลือ 18,900 บาท (ราคาเดิม 21,400 บาท)
-  iPad mini 3 Wi-Fi+Cellular 128GB ปรับราคาลงเหลือ 22,400 บาท (ราคาเดิม 24,900 บาท)

ก่อนหน้านี้มีผลการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของ iPad mini 4 เผยแพร่ออกมาด้วยว่า iPad mini 4 มีประสิทธิภาพเป็นรองเพียง iPad Air 2 เท่านั้น อีกทั้งยังมีความเร็ว และแรงกว่า iPhone 6 ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วอีกด้วย (รายละเอียดเพิ่มเติม - คลิก)

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ทาง Apple ประกาศราคาออกมาเฉพาะรุ่น Wi-Fi เท่านั้น ส่วน iPad mini 4 รุ่น Wi-Fi+Cellular อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา และขออนุญาตจาก กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) อีกทั้งกำหนดการวางจำหน่ายในประเทศไทยก็ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม ทางทีมงานจะรีบนำมาอัปเดตให้ทราบทันที

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

3 เหตุผลที่ทำให้ iPad mini 4 เป็น iPad ที่น่าซื้อ! น่าเสียเงิน! มากที่สุด!

       หลายคนอาจ จะกำลังรอโอกาสซื้อแท็บเล็ตซักเครื่องเพื่อที่จะนำมาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงรวมไปถึงแอพพลิเคชั่นต่างๆ ซึ่งต้องยิมรับว่าถ้าจะซื้อแท็บเล็ตมาใช้งานซักเครื่องนั้น ต้องนึกถึง iPad เป็นตัวเลือกแรกๆ แน่นอน แต่จะซื้อ iPad รุ่นไหนนั้นคงต้องดูอีกทีว่าลักษณะการใช้งานของเราเป็นอย่างไร ถึงจะมาดูกันว่า iPad Air หรือ iPad mini ที่ตอบโจทย์ แล้วจะซื้อรุ่นใหม่ล่าสุด หรือที่ตกรุ่นไปแล้วนั้นก็ต้องมาดูงบประมาณกันอีกทีหนึ่ง
images_14418709182

สเปก iPad mini 4

  • หน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว แบบ Retina Display
  • ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล (326 ppi)
  • ชิปประมวลผล Apple A8 แบบ 64-bit พร้อมชิปเซ็ต Apple M8 ชิปประมวลผลร่วม
  • หน่วยความจำแรมขนาด 2GB
  • Touch ID รองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Home
  • กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้าง F/2.2
  • กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้าง F/2.4
  • รองรับ Bluetooth เวอร์ชัน 4.2
  • รองรับ Wi‑Fi (802.11a/b/g/n/ac) และ MIMO
  • มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 9
       โดยล่าสุดอย่างที่เราทราบกันไปแล้วว่า iPad Air 3 ยังไม่ออก และ iPad Pro ก็อาจจะเกินตัวไปหน่อย (ทั้งขนาดหน้าจอและราคา) ทำให้ iPad mini 4 ที่เป็น iPad mini รุ่นใหม่ซึ่งเพิ่งวางขายกันไปนั้น มีความน่าสนใจกันอยู่ไม่น้อยเลย จากสเปกที่อัพเดทล่าสุดแล้วให้ความแรงพอๆ กับ iPhone 6 อีกทั้งยังมาพร้อมแรม 2GB และราคาก็เป็นมิตรด้วยที่ 13,400 บาทเท่านั้น สำหรับรุ่น 16GB ในบทความนี้เราเลยจะมาให้เหตุผลกันเสียหน่อย
images_14418706943

1. เพราะ iPad mini 4 เป็น iPad ของ Apple

       ด้วยความที่เป็น iPad แน่นอนว่าระบบปฏิบัติการต้องเป็น iOS ที่ทุกคนไว้ใจในเรื่องของประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหล และมีความสเถียรสูง เรียกได้ว่าไม่มีอาการค้างหรืออึดให้เห็นกันง่ายๆ รวมไปถึงยังมาพร้อมกับ App Store ที่เต็มอิ่มไปด้วยแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีคุณภาพ ผ่านการคัดสรรจากทาง Apple มาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งถ้าใครใช้งาน iPad กับแท็บเล็ตที่เป็น Android แล้ว ก็คงพอทราบกันบ้างว่า แอพพลิเคชั่นมีเหมือนกันก็จริง แต่ให้อารมณ์การใช้งานที่แตกต่างกัน

2. หน้าจอใหญ่ สเปกแรง แต่ราคาถูกกว่า

       สำหรับหลายๆ คนที่อยากได้ใช้งานระบบปฏิบัติการ iOS ในขนาดที่พอพกพาไปได้ในขนาดที่หน้าจอไม่เล็กจนเกินไป นาทีนี้คงต้องนึกถึง iPhone 6 Plus ซึ่งแน่นอนล่ะ มันเป็นอุปกรณ์ที่ดีแต่มีราคาที่สูง ฉะนั้นจะดีกว่าไหมถ้าเราใช้งาน iPad mini ซึ่งที่ผ่านมา iPad mini 3 อาจจะยังไม่ตอบความต้องการของใครหลายคนที่สเปกไม่ค่อยแรงนัก อย่างไรก็ตามคราวนี้กับ iPad mini 4 มาพร้อมสเปกใหม่ แถมมาในราคาที่ถูกกว่า iPhone 6 Plus เยอะด้วย

3. สเปกครบเครื่อง ราคาคุ้มค่า

       อย่างที่กล่าวไปแล้วตั้งแต่ต้นว่า iPad mini 4 รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมานี้ Apple จัดเต็มจริงๆ ในส่วนของสเปก ที่มาพร้อมกับชิปประมวลผล Apple A8 และ M8 เหมือนอย่างที่ใช้บน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ส่งผลให้เวลาที่เราไปใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ รวมไปถึงเล่นเกมที่กราฟิกสวยๆ ก็ตอบสนองการใช้งานได้เป็นอย่างดี แน่นอนทั้งกล้องหรืออะไรต่างๆ ก็ดีขึ้น ส่วนที่ดีอยู่แล้วอย่าง Touch ID ก็คงดีเช่นเดิม สำคัญสุดคือราคาเริ่มต้น ที่ 13,400 บาทเท่านั้น ทำให้เราจับต้องกันง่ายยิ่งขึ้น
Screen Shot 2558-09-22 at 09.38.43
       เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับ 3 เหตุผลให้หาเรื่องเสียเงิน เวลาไปซื้อ iPad mini 4 จะได้อ้างได้ง่ายๆ ว่ามันดีขึ้นอย่างงั้นอย่างงี้ หวังว่าคงเป็นตัวช่วยได้ไม่มากก็น้อยล่ะ ส่วนใครเล็งๆ ว่าจะซื้ออยู่แล้ว และไม่ติดปัญหาอะไร ก็รอจัดได้เลย เรียกได้ว่าเป็น iPad mini ที่น่าซื้อที่สุดตั้งแต่มี iPad mini มาก็ว่าได้เลย
       iPad mini 4 มีให้เลือก 3 ขนาดความจุด้วยกัน ได้แก่ 16GB, 64GB และ 128GB พร้อม 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีเงิน, สีทอง และสีเทา Space Gray โดยราคาของแต่ละรุ่น เป็นดังนี้
  • iPad mini 4 16 GB Wi-Fi ราคา 13,400 บาท
  • iPad mini 4 64 GB Wi-Fi ราคา 16,900 บาท
  • iPad mini 4 128 GB Wi-Fi ราคา 20,400 บาท
  • iPad mini 4 16 GB Wi-Fi + Cellular ราคา $529
  • iPad mini 4 64 GB Wi-Fi + Cellular ราคา $629
  • iPad mini 4 128 GB Wi-Fi + Cellular ราคา $729
       ส่วนวันวางจำหน่าย คงต้องรอ Apple แจ้งอีกครั้งครับ ซึ่งน่าจะพร้อมบอกราคาของตัว Wi-Fi + Cellular ด้วย

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

เคล็ดลับวิธีชุบชีวิต iPhone รุ่นเก่า ให้เร็วแรงลื่นไหลเหมือน iPhone เครื่องใหม่

     ถ้าหากในตอนนี้  ของคุณมีอาการที่ไม่ค่อยจะดีนัก การทำงานไม่เร็วเหมือนก่อน ใช้งานอะไรก็ดูจะขัดใจไปเสียหมด ประจวบเหมาะกับ iPhone 6s รุ่นใหม่กำลังจะวางจำหน่ายพอดี จึงอาจทำให้คุณต้องการเปลี่ยนมือถือ
     แต่เนื่องจากราคาเครื่องก็สูงขึ้นทุกครั้งที่มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ สภาพทางการเงินของบางคนก็อาจไม่คล่องตัวนัก หรือจะเลือกผ่อนจ่ายเพื่อจ่ายน้อยกว่าก็ต้องใช้เวลาเป็นปี ในวันนี้เราจึงขอนำเสนอ 9 วิธีในการทำให้ iPhone รุ่นเก่ามีประสิทธิภาพการทำงานไม่แพ้รุ่นใหม่ และจะช่วยให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย
1. สำหรับแอปพลิเคชันที่กินพื้นที่มาก ให้ทำการลบแล้วลงใหม่ หรือลบทิ้งไปเลย

     หากว่าคุณมีแอปพลิเคชันบางตัวที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ก็ควรจะลบทิ้งไปเพื่อคืนพื้นที่ให้เครื่องได้ทำงานมากขึ้น โดยสามารถดูจาก Setting ได้ว่าความถี่ในการใช้งานของแต่ละแอปพลิเคชันมีมากน้อยเท่าใด
     แน่นอนว่าพวกรูปภาพ, เพลง ก็กินพื้นที่ไม่น้อย แต่เราไม่อยากลบมันทิ้งไป จึงควรจะหันมาสนใจแอปพลิเคชันที่กินเนื้อที่อย่าง Facebook, Twitter และ Instagram ซึ่งในปกติแล้ว iPhone อาจจะมีการตั้งค่าในการทำความสะอาด cache โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เมื่อกดลบ cache ของทุกแอปพลิเคชันแล้ว ก็จะได้พื้นที่กลับมาไม่น้อยเลยทีเดียว


2. ปิด Location Service ในแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นต้องใช้

     สามารถเข้าไปปรับตั้งค่าได้ในเมนู Privacy Setting เพื่อให้คุณเลือกได้ว่าจะให้แอปพลิเคชันใดใช้Location Service ได้บ้าง แน่นอนว่า Location Service จะมีประโยชน์สำหรับแอปพลิเคชัน Maps และแอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศต่างๆ แต่ถ้าหากไม่เลือกปิดเลยนั้น จะทำให้เครื่องทำงานหนัก ส่งผลให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น และอาจจะทำให้ iPhone ของคุณอายุสั้นลงได้ด้วย


3. ลดการใช้เอฟเฟกต์ Parallax

     ในทุกเวอร์ชันใหม่ของ iOS ที่มักจะมาพร้อมฟีเจอร์การเลื่อนหน้าจอแบบ Parallax หรือวอลเปเปอร์ 3 มิติ ที่ ภาพแบคกราวน์สามารถหันไปตามทิศทางที่เรามองเครื่อง ซึ่งจริงๆ แล้วฟีเจอร์นี้มีข้อดีอยู่ที่ความสวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่เกี่ยวกับด้านอื่นเลย และหากเป็น iPhone รุ่นค่อนข้างเก่า ก็จะยิ่งมีหน้าจอที่ประมวลผลการทำงานแบบนี้ได้ไม่ค่อยจะลื่นไหลนัก เพราะฉะนั้นแล้วลองปิดการทำงานของฟีเจอร์นี้ เพื่อให้เครื่องมีพื้นที่ในการประมวลผลเพิ่มมากขึ้น และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อีกด้วย การตั้งค่านั้นก็ทำได้ไม่ยาก โดยเข้าไปที่เมนู General Setting เลือกให้สถานะของ Reduce Motion และIncrease Contrast เป็น "On"


4. สวมเคสป้องกันตัวเครื่อง

     หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลในดีไซน์ตัวเครื่องของ iPhone มาก จนไม่ต้องการจะนำอะไรมาบดบังความงามนั้น แต่หารู้ไม่คุณอาจจะต้องเสียเงินในการซ่อมหน้าจอ หรืออาจจะต้องซื้อ iPhone เครื่องใหม่เลยก็ได้ หากคุณไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ก็ควรจะป้องกัน iPhone ของคุณด้วยการหาเคสมาสวมไว้จะดีกว่า หากว่าคุณต้องการจะสัมผัสดีไซน์สุดหรูของ iPhone จริงๆ ก็ขอแนะนำว่าให้ถอดเคสออกขณะนั่งทำงานที่โต๊ะ และเมื่อจะลุกไปไหนก็ค่อยนำเคสกลับเข้าไปใส่ตามเดิม


5. จัดระเบียบรูปภาพในเครื่อง

     ข้อดีของสมาร์ทโฟนที่มีกล้องคุณภาพสูงนั้น คือเราก็จะได้รูปถ่าย และวิดีโอที่มีคุณภาพสูงด้วยเช่นกัน  ในทางกลับกัน เมื่อรูปถ่ายมีคุณภาพสูงนั่นย่อมหมายถึง ไฟล์ที่มีขนาดใหญ่นั่นเอง โดยเฉพาะถ้าเป็นวิดีโอจะยิ่งกินพื้นที่มากขึ้นไปอีก หากใน iPhone ของ คุณมีรูปถ่าย และวิดีโอมากเท่าใด ก็จะเป็นการกินพื้นที่เครื่องมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีรูปถ่ายในเครื่องจำนวนหนึ่งก็ควรจะทำการสำรองข้อมูลไว้ใน เครื่องคอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ค หรือแม้แต่ในคลาวด์ จากนั้นก็ลบรูปถ่ายนั้นออกจากเครื่องเพื่อเป็นการคืนพื้นที่การทำงานให้ เครื่อง
 6. ปิดการทำงาน "Background App Refresh"

     Background App Refresh นั้นเป็นการอนุญาตให้แอปพลิเคชันดึงข้อมูลเนื้อหาใหม่ขณะที่ใช้ WiFiหรือ Cellular อยู่ กล่าวคือการรีเฟรชตัวเองเพื่ออัปเดตข้อมูลอยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ แม้เราจะไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันนั้นใช้งานก็ตาม หากคุณเป็นผู้ที่ชอบเปิดใช้แอปพลิเคชันครั้งละมากๆ แล้วไม่ได้ปิดนั้น จะทำให้การทำงานของแอปพลิเคชันเหล่านี้ดำเนินต่อไปแม้จะล็อกหน้าจอไปแล้วก็ ตาม ซึ่งวิธีปิดนั้นทำได้ไม่ยากเลย โดยเข้าไปตั้งค่าใน General Setting เลือกเมนู Background App Refresh และเลือกแอปพลิเคชันที่คุณต้องการให้รีเฟรชตัวเองตลอดเวลา หรือเลือกที่จะปิดทั้งหมดก็ได้
7. หมั่นลบข้อความเก่าๆ

     ข้อความที่มีมากมายใน iPhone นั้นกินพื้นที่มากกว่าที่คุณ คิดเสียอีก และหากคุณไม่ต้องการนั่งเลือกไล่ลบข้อความหลายๆ ข้อความ เราขอแนะนำให้ตั้งค่าในแอปพลิเคชันข้อความให้ทำการลบข้อความที่เก่าเกิน 30วันทิ้งโดยอัตโนมัติ เพื่อคืนพื้นที่ให้กับเครื่อง
 8. Factory Reset คือทางเลือกสุดท้าย

     หากว่าคุณลองทุกวิถีทางแล้วแต่ iPhone ของคุณก็ยังไม่มีอาการดีขึ้น คุณควรจะลอง Reset เครื่องใหม่แบบ Factory Reset ที่จะลบทุกอย่างที่อยู่ในเครื่องออก รวมไปถึงการทำความสะอาดหน่วยความจำแรม(RAM) อีกด้วย


9. อัปเดต iOS ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด (iOS 9)

     อย่างที่ทราบกันดีว่าทาง Apple ได้ปล่อย iOS 9 ออกมาให้ผู้ใช้สามารถโหลดไปใช้งานได้แล้วตั้งแต่วันที่16 กันยายนที่ผ่านมา โดยที่เวอร์ชันล่าสุดจะใช้พื้นที่เพียง 1.3 GB จากที่ iOS 8 ใช้พื้นที่มากถึง 4.5 GBเลย ทีเดียว นอกจากจะได้พื้นที่กลับคืนมาแล้ว ยังสามารถใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้อีกด้วย อย่างเช่น การใช้แบตเตอรี่น้อยลงในการทำงาน ที่จะช่วยให้ iPhone รุ่นเก่าใช้งานได้นานขึ้นด้วยแบตเตอรี่ที่เริ่มจะเสื่อมสภาพ นอกจากนี้ยังมีระบบ Ad-Blocking ซึ่งจะช่วยให้การใช้แอปพลิเคชันที่เป็น Browser ต่างๆ ทำงานได้เร็วขึ้น
     จาก 9 วิธีดังกล่าว หากเราลองทำดูสักนิดเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานให้ iPhone ไม่จากเราไปก่อนวัยอันควรทั้งในเรื่องของการทำงานในด้านต่างๆ และสภาพของ แบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังจะช่วยให้เราประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้น จึงทำให้มีเวลาสำหรับการออมเงินในการซื้อ iPhone รุ่นใหม่ได้โดยไม่ลำบาก และถ้าจะให้ดีก็อย่าลืมแบ่งปัน หรือบอกต่อเรื่องราวที่มีประโยชน์เหล่านี้กับเพื่อนๆ ชาว iPhone ของคุณบ้างนะครับ

ที่มา: http://hitech.sanook.com/1399349/